James Dyson (part 2) 7 ขั้นตอนพัฒนาผลิตภัณฑ์สู่ Innovation ของสุดยอดนักออกแบบผู้บดขยี้ Pain Point ให้เป็นผุยผง

"เพราะเพลงที่ดีที่สุดยังไม่ถูกแต่งขึ้น​ และหนังสือที่ดีที่สุดก็ยังไม่ถูกประพันธ์ถึง"

นั่นคือคำตอบ​ว่าทำไมต้อง​ Innovation​ หรือ​ Why​ นวัตกรรม​ !?

ดังที่​ Dyson​ เคยกล่าวไว้ว่า​สำหรับเขา​ ​Innovation คือการลงมือทำอะไรบางอย่าง​ ที่ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์​ หรือ​ การบริการ "ดีขึ้น​อย่างชัดเจน" ซึ่งหากมองให้ลึกลงไป​คำว่า​ Innovation​ หรือ​นวัตกรรมนั้น​ มิได้ถูกยึดโยงอยู่กับเทคโนโลยี, สิ่งประดิษฐ์, หรือแวดวงการออกแบบเท่านั้น​ แต่หมายถึงทุกสิ่งที่เราทำ​ เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นใคร​หรือทำอาชีพอะไร​ ? เราทุกคนล้วนมีผลิตภัณฑ์​และการบริการเป็นของตัวเอง​ ​!! โดยมีเจ้าของบริษัทที่ชื่อว่า​ 'เรา'​ เองนี่แหละ คุณสามารถทำในสิ่งที่คุณทำให้ดีขึ้นกว่านี้​ได้ และคุณสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ ใน Version ที่ดีกว่า เพียงแต่คุณต้องเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า ​ว่า​สิ่งที่ดีที่สุดยังไม่ได้ถูกสร้างขึ้น​ และคำตอบเดิม​ ๆ​ ที่มีอยู่หรือทำอยู่นั้น ยังไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด​ ​!!

โลกนี้ยังมีพื้นที่สำหรับคำตอบที่ท้าทายแปลกใหม่​ และสร้างสรรค์จากคุณอยู่เสมอ​

"It's​ more fun to​ be​ a​ pirate than to​ join the​ navy"

จะมัวเป็นทหารเรือไปทำไม​ ? ในเมื่อคุณก็เป็นโจรสลัดได้​ ​แถมยังสนุกกว่าด้วย​ !!

Steve Jobs เคยกล่าวไว้


แน่นอนว่า​ Class​ A​ Solution​ เป็นบริษัท​ Research​ &​ Development (R&D)​ ที่เน้นการพัฒนา​ Product โดยใช้หลัก Design Thinking อย่างเข้มข้น ซึ่งถ้าใครอ่านบทความนี้จนจบจะเข้าใจเนื้องานของเราได้แบบไม่ยากนัก​ โดย​เนื้อหาที่เรากำลังจะนำเสนอนั้น​ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร​หรือคุณจะทำอะไร​ เพียงคุณสนใจใน​นวัตกรรม​ หรือกำลังหาทางทำบางอย่างให้ "ดีขึ้นอย่างชัดเจน" แล้วนั้น​ ก็สามารถเทียบบัญญัติไตรยางค์​ หรือ​ Translate​ เนื้อหาของบทความนี้ เข้ากับสิ่งที่คุณทำได้​ เพราะ

"กิ่งก้านใบแห่งนวัตกรรมนั้น​ ล้วนมาจากรากเดียวกัน"

ขอเชิญพบกับ​ที่สุดแห่งกระบวนการ​พัฒนา​ผลิตภัณฑ์​ ที่กลั่นมาจากชีวิตเลือดเนื้อ​และจิตวิญญาณ​ของ​ James​ Dyson​ สุดยอดนักออกแบบ/นักประดิษฐ์​/วิศวกรผู้เป็นตำนาน​ เรื่องราวจะเป็นเช่นไร​ขอเชิญทุกท่านร่วมดำดิ่งไปกับเราได้​ ณ​ บัด​ Now​ !!


ส่วนใครยังไม่รู้จัก Dyson​ เชิญอ่าน​ Part.1 ก่อนได้ที่ลิงค์นี้

https://www.class-a-solution.com/.../james-dyson-part-1...

Class​ A​ Solution​ ภูมิใจนำเสนอ


"Dyson​ Design​ Process​ 7​ Step​
7​ ขั้นตอนพัฒนาผลิตภัณฑ์​ สไตล์​ Dyson"

1​. Brief​

"เราไม่มีทางได้คำตอบที่ถูก​ จากโจทย์ที่ผิด"

Brief​ คือ การตั้ง​โจทย์จาก​ 'ปัญหา'​ หรือ​ 'Pain​Point'​ บางอย่างที่เราเล็งเห็น​หรือรู้สึกร่วมไปกับมัน​ ซึ่งอาจมาจากประสบการณ์ตรงคำบอกเล่าของใครบางคน​ หรือ​ Research​ ก็ได้ เพียงแต่เราต้อง​ Make​ Sure ให้ได้​ว่า​ คนอื่นก็มองสิ่งนี้เป็นปัญหา​หรือเจ็บปวดกับสิ่งนี้จริง​ ๆ​ มิใช่การมโนหรือรู้สึกไปเองคนเดียวของเรา​ !!

เพราะสิ่งนี้แหละจะเป็นตัวกำหนด Demand ตั้งแต่วันที่สินค้าหรือบริการของเรา​ยังไม่คลอดออกมา​

ดังนั้นสิ่งแรกที่เราควรตั้งคำถามคือ​ ปัญหา​ หรือ​ Pain​ Point​ นี้​มัน​ 'Mass'​ พอไหม​ ​? และปัญหานี้มัน​ 'สำคัญ'​ มากพอที่ต้องแก้รึเปล่า ?
เพราะความ Mass​ จะสัมพัทธ์กับ Demand ว่าจะมาก​หรือน้อย​ ส่วนความ 'สำคัญ'​ จะสัมพัทธ์กับ ​ของมันต้องมี​ (ปัญหานี้ต้องแก้ไข)​ หรือมีก็ดี​ (แก้ได้ก็ดี)​ หรือไม่จำเป็นต้องมี​ (จะแก้ไปทำไม(วะ)​ !!
ซึ่งแน่นอนว่า​ หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ​ความเป็นความตาย​หรือการใช้ชีวิต​ มันสำคัญและมันจำเป็น​ต้องมี

ยกตัวอย่าง​เช่น​ ปัญหาการแพร่กระจายเชื้อผ่านอากาศ​ของผู้ป่วย​ Covid-19​ ที่​ Mass ระดับโลก​ ซึ่งส่งผลให้​ Demand​ ของ Mask เพิ่มขึ้นมหาศาล​ ซ้ำยัง​สำคัญมาก​ในระดับที่​จำเป็นต้องมี​ (ปัญหานี้ต้องแก้ไข)​

ส่วนความ​ Mass เป็นสิ่งที่จับต้องได้ง่าย​สามารถชี้วัดเป็นตัวเลขได้​ถ้า​ Data และวิธีเก็บ​ Data​ ถึง แต่เรื่องความสำคัญนี่สิ​ ‘ยากแท้หยั่งถึง’ ขึ้นอยู่กับว่า​สำคัญของใคร​ ​?

'ใคร'​ ในที่นี้​เราสามารถแบ่งตามประเภทของ​ Market Segmentation ได้เป็น

  • Demographic​ (ประชากรศาสตร์​)

  • Behavioral (พฤติกรรมของผู้บริโภค)

  • Geographic (ลักษณะทางภูมิศาสตร์)​

  • Psychographic (จิตวิทยา)​

**สามารถอ่านรายละเอียด Market Segmentation แบบละเอียดได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้ https://www.oberlo.com/blog/market-segmentation

ซึ่งกล่าวโดยสรุป​คือ


"ไม่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการใด​ ที่สามารถ​รองรับทุกโจทย์ความต้องการบนโลกได้​พร้อมกันในทีเดียว"
นั่นคือสาเหตุหลัก​ที่ทำให้เราต้องแบ่งกลุ่มคน​ตามลักษณะเฉพาะ​ เพราะคนแต่ละกลุ่มล้วนมีปัญหา​ และความต้องการที่แตกต่างกัน​ ดังคำกล่าวที่ว่า

"คนเหมือนคน​แต่คนไม่เหมือนกัน"

สิ่งสูงค่าของคน​ ๆ หนึ่ง​ อาจไร้คุณค่าโดยสิ้นเชิงสำหรับคนอีกคนหนึ่ง​
ดังนั้น​สิ่งที่เราพอจะทำได้คือ​ จงเลือกกลุ่ม​ Target เฉพาะ​ที่เราสามารถเข้าถึงหัวจิตหัวใจ​ เข้าถึงปัญหาเข้าถึงความเจ็บปวด​หรือความต้องการ​ ที่เราสามารถตอบสนองมันได้​อย่างแท้จริง​ !!

​แล้ว​ Brief​ ที่ดีล่ะ​หน้าตาควรจะเป็นอย่างไร​ ?


"เราจะทำอย่างไรให้เครื่องดูดฝุ่น​ 'เล็ก​ที่สุด'​ เท่าที่จะเป็นไปได้​ ? "

นี่คือ​ Brief​ ของ​ Dyson​ ในวันที่เขามุ่งมั่นที่จะผลิต​ DC-012 โดยมี Target เฉพาะเป็นชาวญี่ปุ่น​ ​!!
การเลือก Target​ เฉพาะนี้​อาจเพื่อตอบแทนชาวญี่ปุ่น​ หรืออาจเพราะ​ Dyson​ เข้าถึงหัวจิตหัวใจความต้องการของชาวญี่ปุ่นอย่างลึกซึ้งก็ไม่ทราบได้​ เพียงแต่นี่คือสุดยอด​​ Brief​ ​!! ที่​ ​'เคลียร์​ชัด​และ​ซัดตรงจุด'

แล้วมันสุดยอดยังไง ?
ประเด็นแรกด้วยคำว่า​ "เล็กที่สุด" เท่าที่จะเป็นไปได้นี้​ ทำให้​ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง​กับโปรดักส์ ไม่เฉพาะแค่​ Designer​ แต่รวมถึง​ทีม​ Engineer​ และทีมงานคนอื่น​ ๆ​ ได้เห็นภาพและเป้าหมายที่ตรงกัน​ โดยไม่คลุมเครือและไม่ต้องตีความเป็นอื่นอีก​ !!

ตัวอย่าง​ Case​ คลาสสิค​ที่​ Designer​ แทบทุกคนต้องเคยเจอคือ​ "ทำให้มันสวย" ซึ่งพอได้​ Brief​ แบบนี้มา​ แทนที่จะเอาเวลาไปคิดงาน​ ต้องมานั่งตีความหรือเดาใจกันก่อน​ เพราะสวยของพี่​หรือของผม หรือของ​ User​ ​ก็คงไม่เหมือนกัน​ จริงไหม​ ​!?

ประเด็นต่อมาคำว่า 'ซัดตรงจุด'​

ถ้าใครเคยไปญี่ปุ่นจะรู้เ​ลยว่า​ บ้านมันเล๊กกกก​ เล็กแบบเข้าห้องน้ำปิดประตู​ นั่งชักโครก​แล้วอีกคืบหนึ่งเข่าสะกิดประตู​ !! ก็ลองจินตนาการดูว่าห้อง​อื่น​ ๆ​ จะเหลือพื้นที่ขนาดเท่าไร ? ครั้นจะมีเครื่องดูดฝุ่นขนาด 'บักเอ้ก' ​สักเครื่อง​ ​เพื่อความสะดวกสบายก็ต้องมานั่งกังวลใจอีก​ว่า​ วาตาชิวะหรือข้าพเจ้าจะเก็บมันไว้ตรงไหนดี​ !?

ความเล็กของพื้นที่นี้​เป็นปัญหาระดับชาติ​ของญี่ปุ่น​ !! ซึ่งถ้าใครไม่เข้าใจปัญหา​ Pain​ Point​ หรือความเจ็บปวดนี้​ ก็โบกมือบ๊ายบาย​ซาโยนาระตลาดญี่ปุ่นได้เล​ย​ ถามว่า​การเจาะจง Target เฉพาะแค่ชาวญี่ปุ่นมันไม่แคบไปเหรอ​ ? ต้องขอบอกว่า เพียง​ 'ตลาดญี่ปุ่น'​ ก็มีศักยภาพมากพอ​แล้ว

และจริง ๆ แล้ว Target แท้จริง ที่ซ่อนอยู่ภายใต้คำว่าญี่ปุ่น​ คือทุกประเทศที่มีปัญหาเรื่องขนาด

'ความเล็กของพื้นที่'​

ดังนั้นถ้าเจาะตลาดญี่ปุ่นได้จริง​ ประเทศอย่างไต้หวัน, ฮ่องกง, เกาหลี, หรือประเทศใด​ ๆ​ ที่มีปัญหานี้​ ก็ต้องเสร็จ​ Dyson​ ด้วยเช่นกัน​ !!


"เมื่อคุณเข้าใจอย่างแท้จริง​ คุณจะสามารถอธิบายมันด้วยภาษาแบบ​ง่าย​ ๆ​ ได้"

ในความเรียบง่ายนั้น​มีความลึกซึ้งซ่อนอยู่เสมอ​ ดั่งตัวอย่าง​ Brief​ ของ​ Dyson​ ที่​เคลียร์​ชัด​และซัดตรงจุด ซึ่งความเคลียร์ชัดนี้​เกิดจากการเลือกใช้​คำ​ที่ทำให้​ เห็นภาพ​ อย่างคำว่า​ 'เล็กที่สุด' หรือการใช้คำว่า​ญี่ปุ่น เพื่อแสดงให้เห็นภาพของปัญหา​ประเทศที่มี 'พื้นที่ขนาดเล็ก'​ ได้อย่างชัดเจน ส่วน​การ 'ซัดตรงจุด'​ นั้น ​เกิดจากการเลือกที่จะแก้ปัญหา​ หรือ​เลือก Pain​ Point​ ที่เป็นหัวใจสำคัญออกมา ​เพียงแค่​ประเด็นเดียว​


ท้ายสุดในหัวข้อ Brief นี้ เราขอเน้นย้ำว่า ‘สิ่งที่น่ากลัวที่สุด’ จากการตัดสินใจเลือก Brief ที่ผิดนั้นเหมือนการพยายามเข็นครกขึ้นภูเขาจนสำเร็จ.. แต่ดันผิดลูก​ !!

'เราไม่มีทางได้คำตอบที่ถูก​ จากโจทย์ที่ผิด'

2.​ Research

Research​ สำหรับ​ Dyson​ คือ​การค้นหากุญแจที่ชื่อว่า 'ข้อมูลเฉพาะ'​​ ที่จะช่วยให้เราสามารถพิชิตโจทย์หรือ​ Brief​ ที่เราตั้งไว้ได้

โดยกุญแจ​หรือ​ 'ข้อมูลเฉพาะ'​ นี้จะแตกต่างกันไป​​ ขึ้นอยู่กับโจทย์​หรือ​ ​Brief​​ และผันแปรตามผลิตภัณฑ์หรือการบริการของเรา​ แม้เป็นโปรดักส์เดียวกัน​แต่ถ้าโจทย์​หรือ​ Brief​ ต่างกัน​ ก็ต้องการ​ 'กุญแจ'​ ที่แตกต่างกัน​เหมือนในช่วงแรกโจทย์ของ​ Dyson​ ที่จะสร้าง​ Cyclone​ ในพื้นที่ขนาดเล็ก​ กับ​โจทย์​ที่จะสร้าง​เครื่องดูดฝุ่นที่เล็กที่สุด​ แม้เป็นเครื่องดูดฝุ่นเหมือนกัน​ แต่โจทย์ต่างกัน ก็ย่อมต้องการกุญแจ​หรือชุดข้อมูลเฉพาะที่แตกต่างกัน

ประเด็นคือเราต้องรู้ให้ได้ว่า​ 'ข้อมูลเฉพาะ'​ ชุดใดที่ส่งผลที่สุดต่อ​โจทย์ของเรา​ หรือพูดอีกอย่างคือ

​"เราต้องรู้ว่าเรากำลังหากุญแจอะไรอยู่​ ​? "


อย่างในกรณีของ​ Dyson​ โจทย์​ความเล็กที่สุดของเครื่องดูดฝุ่น​นั้น​ กุญแจสำคัญอยู่ที่​ 'เทคโนโลยี'​ ต่อให้​ Sketch Design Form​ หรือปรับฟังค์ชันการใช้งานใด​ ๆ​ ก็ตาม​ ท้ายสุด​มันจะเล็กลงไม่ได้เล​ย​ ถ้าขนาด​หรือเทคโนโลยีมอเตอร์ที่ใช้​ มันยังใหญ่เท่าเดิมอยู่ นี่คือโจทย์​หรือข้อจำกัด​เฉพาะ​ นี่คือชะตาที่มิอาจเลี่ยงของ​ Dyson​ เพราะ​ 'เทคโนโลยี' คือตัวแปรสำคัญ​ที่ขวางกั้นเป้าหมาย เรื่องการทำเครื่องดูดฝุ่นให้เล็กของเขาอยู่​

ดังนั้นสิ่งที่​ Dyson​ มองหาเพื่อบรรลุโจทย์ของเขา​ จึงไม่ใช่การ​ Research​ โดยการสอบถามข้อมูลจาก​ User​ แบบคนอื่น​ ๆ​ (สอบถามก็ไม่ผิดนะถ้ามันคือกุญแจที่จำเป็นต้องใช้ในการตอบโจทย์)​ แต่คือการ​ ​Focus เทคโนโลยี​ที่เขามีในมือ​ หรือการตามหาเทคโนโลยี​ใด​ ๆ​ ก็ตาม​ที่จะสามารถบรรลุโจทย์หรือ Brief ที่เขาตั้งไว้ได้​ !!

ซึ่งพอ​ Brief​ ของ​ Dyson​ เคลียร์​ชัดขนาดนี้​ ทุกคนในทีม​ต้อง​ร่วมกันค้นหากุญแจ​ หรือ Research​ ข้อมูลเฉพาะว่า​ 'เทคโนโลยีทั้งหมดที่มีบนโลกนี้'​

  • การจะทำให้เครื่องดูดฝุ่น​เล็กลงมีอะไรบ้าง​?

  • มีอะไรได้อีก​?

  • Core เทคโนโลยีของเขาคืออะไร​ ?

  • ยังขาดกุญแจดอกไหน​อีก​เพื่อที่จะไขประตูบานนั้น​?

นี่เป็นสิ่งที่ทีมวิจัยมอเตอร์, แบตเตอรี่, หรือทีมวิจัยหลังบ้านใด​ ๆ​ ของ​ Dyson​ ต้อง​รับไม้​ Research​ ต่อ และถ้า​ Research​ สืบค้นจนพบว่า​ ไม่มีกุญแจหรือข้อมูลเฉพาะของเทคโนโลยีใด​ ๆ​ บนโลกนี้​ ที่จะบรรลุโจทย์ข้อนี้ได้ Dyson​ และทีม​ก็จะร่วมกันสร้างข้อมูลเฉพาะ​ หรือ​กุญแจดอกใหม่นี้ขึ้นมาเอง​ !!

ซึ่งท้ายที่สุดกุญแจดอกที่ว่านี้​ Dyson​ และทีมใช้เวลาในการสรรค์สร้าง​ร่วมกันหลายสิบปี​ และเมื่อสำเร็จ​มันยิ่งใหญ่สะเทือนวงการ​ ถึงขนาดมีคนขนานนามว่า​ นี่คือ​ "Alien Technology" หรือเทคโนโลยีที่ไม่น่าเชื่อว่า​สิ่งมีชีวิตบนโลกจะสร้างขึ้นได้​ ​!! ซึ่งเราจะกล่าวถึง​ใน​ ​Dyson พาร์ทต่อ​ ๆ​ ไป

3.​ Idea​ Development

Idea​ Development​ คือการหาทางพิชิตโจทย์​ หรือ​ Brief​ ที่ตั้งไว้​ด้วย​ 'กระบวนการทางการออกแบบ'​

ซึ่งเป็น​หน้าที่ของทุกคนในทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่ประกอบด้วย Engineer และ Designer เป็นผู้รับผิดชอบหลัก

Dyson​ ได้กล่าวว่า​จุดนี้​เป็นจุดที่​ Studio ของ​เขาแตกต่างจากที่อื่นอย่างชัดเจน​ ​ในขณะที่​ Studio​ อื่น​ ๆ​ ต้องการเห็นความสวยงามของ​ตัวโปรดักส์​ก่อน โดยทุ่มกองกำลัง​ Design​er​ ไปรุมสร้าง Beautiful Sketch แต่​ Dyson​ จะไม่สนใจเรื่องความสวยงามเลย​ ช่างแม่มความสวย​ (ยัง)​ไม่จำเป็น​ !!

แน่นอน​ว่า ​'ความสวยงาม'​ เพื่อความน่าใช้ก็เป็น Function หนึ่ง​ที่จำเป็น​ เพียงแต่​ ‘คุณค่า’ ที่แท้จริงของผลิตภัณฑ์นั้น ​อยู่ที่​ Function​ การใช้งานมิใช่หรื​อ​ ? ถ้ามันสวยน่าใช้แต่ใช้งานไม่ดี​ หรือสวยน่าใช้แต่​ตอบโจทย์การใช้งานของเราไม่ได้​ ถามว่าคุณจะเสียเงินซื้อมันเพื่อ​ ?

ในหลาย ๆ Case เราพบว่า นี่คือ​ 'กับดัก'​ ที่ชื่อว่า​ความสวยงาม​ ที่มักทำให้ลูกค้าหลงประเด็นจากโจทย์​หรือ​ Brief​ ที่ตั้งใจไว้อยู่เสมอ​ และถ้าโจทย์หลักในผลิตภัณฑ์ของคุณ​ไม่ใช่เรื่องความสวยงาม คุณจะมัวเสียเวลาทำให้มันสวยงามไปเพื่ออะไร​ ?


บทพิสูจน์หนึ่งของเรื่องนี้อยู่ใน​บทความ​ Blobject​ ของ​ Karim​ Rashid​ ที่เราเคยนำเสนอ​ไป อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อ​ Form​ ไม่​ยอม Follow Function ​บทสรุปของความสวยงามสุดโต่งที่เกินหน้า​การใช้งานคืออะไร​ ?

**อ่านต่อได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้**
https://www.class-a-solution.com/blog/karim-rashid-

อย่าง Brief​ นี้​ถ้า Dyson ต้องการให้มันเล็ก​ ​เล็กที่สุด​เท่าที่มันจะเล็กได้​ ​!! และถ้าเล็กที่สุดในโลกมันได้ประมาณนี้​ ในฐานะขุนพล Designer​ และ​ Engineer​ ของ​ Dyson ​จงทำยังไงก็ได้​ให้เครื่องดูดฝุ่นนี้มันเล็กลงได้อีก​ ​!! โดยทุกคนที่ทำงานใน​ทีมของ​ Dyson​ จะได้รับสมุดบันทึก​ RDD (Research​ Design​ Development) ​เพื่อบันทึกทุก Idea​ บันทึกทุก ‘ความน่าจะเป็น’​ ที่อาจนำไปสู่การตอบโจทย์​ Brief​ ที่ได้รับมา​ (ทุก​ Idea​ ที่อยู่ในสมุดบันทึกนี้​ Dyson​ ถือเป็นความลับของบริษัท)​

ทั้งนี้ข้อจำกัดในการ Sketch ให้เล็กจะถูก​ Fix โดยเทคโนโลยีในขณะนั้น​ เช่นขนาดของมอเตอร์​ที่เล็กที่สุด​เท่าที่ใช้งานแล้วยังเวิร์คมันเล็กได้เท่านี้​ หรือเส้นผ่านศูนย์กลางของท่อดูดที่เล็กสุด​ สั้นสุดแล้วยังดูดได้ Flow มันได้ประมาณนี้​

นอกเหนือจากนั้น​ Form​ ตำแหน่งการจัดวาง​ พาร์ท​และฟังค์ชันการใช้งานต่าง​ ๆ​ จะถูกพัฒนาโดยพุ่งเป้าไปที่​ ทำอย่างไรให้เล็กลงได้อีก​ มีอะไรตัดออกได้​ มีอะไรซ่อนได้​ ก็จะเป็นสิ่งที่ทุกคน​ในทีมต้องร่วมกันค้นหาคำตอบที่ดีที่สุดออกมา

และที่สำคัญคือ Sketch ไม่ต้องเสียเวลามาก​ เอาคร่าว​ ๆ​ พอ​ให้เห็น​ Idea​ แล้วจงรีบไป​ทำ​ Prototype​ ขึ้น​ 3D สร้าง​โปรดักส์แล้ว​ Test กัน​ !! เพราะท้ายที่สุด​ Prototype​ ต้นแบบที่ออกมา​ จะแสดงให้เห็นถึงปัญหา​ของแบบ​ Sketch ที่เราไม่สามารถจะรู้ได้เลย ถ้ามันอยู่แต่ในกระดาษ​ หรือบนหน้าจอคอม

นี่คือวิธีการ​ Sketch ที่ดีที่สุดที่ Dyson​ 'เชื่อมั่น'​ และนำมาใช้ เหมือนในวันแรกที่เขาทำ Prototype​ เครื่องดูดฝุ่นแบบง่าย​ ๆ​ ด้วยกระดาษลัง และยังทำมาอยู่จนถึงทุกวันนี้

4.​ Specification

Specification​ หลัก​ ๆ​ จะเป็นการคุยสรุป​เพื่อ​ 'ระบุ​ตัวเลข'​ ให้ได้มากที่สุด​หลังจากได้ข้อมูลและ Idea มาแล้วเพื่อให้การพัฒนาผลิตภัณฑ์เดินไปข้างหน้าอย่างชัดเจน​ และเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น

การระบุตัวเลขนี้เปรียบเสมือนดั่งชิ้นส่วนของตัวต่อ​ 'จิ๊กซอว์'​ ที่จะค่อย​ ๆ​ เผยให้เห็นภาพโปรดักส์จริงของเราทีละนิด

หลักการคือเราต้อง​ 'ระบุตัวเลขจริง'​ ให้ได้ก่อนสัก​ 1​ ตัวเลข​ เพื่อเป็นตัวตั้งต้นให้เรานำไปคิดต่อในส่วนอื่น​ ๆ เหมือน​จิ๊กซอว์ ที่พอเราวางลงไป​ 1​ ชิ้น​ เราจะเริ่มเห็นภาพชิ้นส่วนอื่น ๆ ที่จะประกอบอยู่รอบ​ ๆ​ ด้วยเช่นกัน การ 'ระบุตัวเลขจริง'​ นี้อาจอิงจากคู่แข่งในตลาด​ หรืออิงจากความจำเป็นในการใช้งานของ​ User​ หรืออิงจากข้อจำกัดอื่น​ ๆ​ ที่จำเป็นก็ได้ เช่น การระบุ​ตัวเลข​ Performance ของเครื่องดูดฝุ่นว่าควรมีอายุในการใช้งานกี่ปี​ ?

สมมุติ​เครื่องดูดฝุ่นนี้ต้องใช้งานได้ 10​ ปี​ ด้วยเหตุผลทางการตลาด​หรือเหตุผลใด​ ๆ​ ก็ตาม​ เราก็จะรู้แล้วว่า อายุมอเตอร์ก็ต้องใช้งานได้ถึง 10​ ปี​ด้วยเช่นกัน​ และเรายังนำตัวเลขที่ถูกระบุนี้​ไปคิดต่อในส่วนอื่น​ ๆ​ ได้อีก เช่น​ ถ้า​เครื่องดูดฝุ่นนี้อายุ​ 10​ ปี​ 'ถังเก็บฝุ่น'​ ต้องถูกถอดเข้า-ออก​กี่ครั้ง​ตลอดอายุการใช้งาน ?​ ในการคำนวนนี้เราต้องเผื่อ​ Use​ Case แบบโหด​ไปเลย เช่น

สมมุติคุณแม่บ้าน​ ๆ​ หนึ่งที่​รักความสะอาดมาก​กก ดูดฝุ่นทุกวัน​ วันละ​ 2​ รอบ​ และหนึ่งสัปดาห์ต้องถอดถังออกไปเคาะ 3 ครั้ง เท่ากับ​หนึ่งปี​ 'ถังดูดฝุ่น' จะถูกถอดออกมาทิ้ง​และใส่กลับ​ประมาณ 160 ครั้ง​ หรือ​เท่ากับ 10​ ปี​ 1,600 ครั้ง​ !! ตลอดอายุการใช้งาน​ก่อนที่เราจะนำตัวเลข​ 1,600 ครั้งนี้​ ไประบุ​ 'กลไก'​ ที่จำเป็นต้องใช้ในการถอดเข้า-ออก​ รวมถึง​ระบุเกรดพลาสติกที่ต้องใช้​อีก​

ซึ่งเกรดพลาสติกที่ต้องใช้เพื่อรองรับการใช้งาน​ให้ได้ถึง 1,600​ ครั้ง​ก็จะเป็นราคาหนึ่ง​ หรือถ้าน้อยกว่านั้นพลาสติกไม่ต้องทนมาก​ ก็จะถูกลงเป็นอีกราคาหนึ่ง

ด้วยวิธีคิดนี้เราจะได้เห็น​ตัวเลข ‘ต้นทุน’ ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งพอไปรวมกับพาร์ทอื่น​ ๆ​ ของโปรดักส์​ ใน​ Conditions ที่หลากหลาย​ เราจะได้​ 'ราคา'​ ของโปรดักส์แบบคร่าว​ ๆ​ เพื่อประกอบการตัดสินใจในขั้นตอนต่อไป

การ​ระบุตัวเลขนี้ยังสามารถใช้ระบุ 'ขนาด'​ ได้ด้วย​ เช่น​ขนาดมอเตอร์​ หรือ​ขนาดของโปรดักส์เมื่อพับเก็บสายต้องอยู่ในกล่องขนาดพื้นที่​ 20x20x20​ Cm ได้เป็นต้น

นอกจาก​ต้องระบุตัวเลขทุกตัวเลขที่เกี่ยวข้องกับโปรดักส์แล้ว​ การระบุ​ 'ภาพลักษณ์'​ ของโปรดักส์​ก็อยู่ในขั้นตอนนี้ด้วย​ เช่น​ การระบุว่าหน้าตาตอนจบ​ของโปรดักส์ Form Factor ที่น่าจะเป็น หรือ​ระบุภาพลักษณ์ของมันว่า ควรสื่อสาร​ออกมาในทิศทางไหน ​เป็นต้น

นี่คือความสำคัญและความน่าอัศจรรย์​ของ​ขั้นตอน Specification​ ที่พอเราค่อย​ ๆ​ ต่อ​ชิ้นส่วน 'จิ๊กซอว์ตัวเลข'​ มันจะค่อย​ ๆ​ เผยภาพโปรดักส์ที่จะเกิดขึ้นจริงให้เราเห็น และที่สำคัญที่สุด​ ​คือภาพตัวเลข​ 'ราคา'​ ที่จะขายพร้อมต้นทุนคร่าว​ ๆ​ ที่จะไปเคาะตัวเลขชัด​ ๆ​ อีกทีในขั้นตอนต่อไป​ ซึ่งตัวเลขพวกนี้บอกได้เลยว่าจะเป็นตัวกำหนด 'ชะตาชีวิต'​ Product ของเรา..

5.​ Chosen Idea

Chosen Idea​ คือขั้นตอนชี้เป็นชี้ตายของโปรดักส์​ ​!! เพราะต้อง 'ตัดสินใจ'​ เลือก​ว่า​ Idea​ ไหนควรทิ้ง​ และ Idea​ ไหนที่จะได้ไป​(พัฒนา)​ต่อ​ ​หรือในกรณีเลวร้ายที่สุด​คือ​ต้องยุบโปรเจคทิ้ง​ ​!!

โดยการตัดสินใจครั้งสำคัญนี้​ต้องคำนึงถึงต้นทุน Product​ ที่เราจะขายอย่างรอบคอบ​ คำนึงถึงเทคโนโลยี​ที่ต้องเลือกใช้ในการผลิต​ ซึ่งก็ต้องมา บวก​ ลบ​ คูณ​ หาร​ ว่ามันจะออกมา​ 'ราคา'​ เท่าไร ? และ​ 'ราคา'​ ขายที่เคาะออกมา​แล้ว มันสมเหตุสมผล​มากพอ​ที่ลูกค้าจำเป็นต้องควักเงินซื้อ​เจ้าสิ่งนี้​ เพื่อแก้ปัญหาของพวกเขาไหม​​ ?

แน่นอนว่าในการตัดสินใจครั้งสำคัญนี้​ เราจำเป็นต้อง​เห็น​ Prototype​ ต้นแบบเพื่อประกอบการตัดสินใจด้วย​ ซึ่งในสมัยก่อนกว่าจะเห็​น​ Prototype​ ต้นแบบได้​ เราอาจต้องใช้เงินถึงหลักล้าน​ !! เพื่อสร้างแม่พิมพ์ ที่พอฉีดพลาสติกได้ต้นแบบออกมา​ แล้ว​พบว่ามัน​ Fail​ นี่ลมแทบจับ​ซึ่งต่างจากสมัยนี้


ปัจจุบันคือยุคสมัยที่ Dyson​ กล่าวว่า​ "มันบ้ามาก" เพราะหากย้อนไปในยุคเริ่มต้น ที่เขาใช้กระดาษลัง​ประกอบเข้ากับเครื่องดูดฝุ่น​ เพื่อสร้าง​ Prototype​ ต้นแบบแล้วนั้น

ในยุคนี้​ด้วยเทคโนโลยี​ Rapid Prototype​ ​(RP)​ ที่ ​Dyson​ ใช้ Program Siemen NX ​เขียนแบบ​ ก่อนส่งเข้าเครื่อง​ 3D​ Printer ในระบบ SLS (Selective Laser Sintering) โดยใช้เทคนิค Slice File ชิ้นงาน 3D ที่ออกแบบให้แยกออกเป็นชั้น​ ๆ ก่อนยิงแสงเลเซอร์ใส่ผงวัสดุพลาสติกที่อยู่ในถาดตามแบบ 3D ที่ส่งเข้ามาจนกลายเป็นชิ้นงาน​ !! เพียงเท่านี้เราก็จะได้เห็น​ Prototype​ ต้นแบบ​ภายในเวลาเพียง​ 1-2 วัน​ แถมประหยัดงบในการสร้างแม่พิมพ์ได้มหาศาล

ด้วยเทคโนโลยีนี้​ Dyson​ สามารถให้ทีม​ Develop ทั้ง​ 6​ ทีม​พัฒนา​ 6​ Idea​s ไปพร้อม​ ๆ​ กัน​โดยไม่ต้องกังวล​ว่าจะเสียเวลา​ และเปลืองเงินทุนในการสร้าง​ Prototype​ ต้นแบบเหมือนในสมัยก่อนอีกต่อไป​ และเมื่อได้เห็น​ Prototype​ ต้นแบบที่หลากหลาย​ ประกอบการคำนวนต้นทุนอย่างถี่ถ้วนแล้ว​ ก็ถึงเวลาที่ต้อง​ตัดสินใจสักที ว่าจะไปต่อ​หรือพอแค่นี้​ ?

ในภาพยนต์​เรื่อง​ 'Saw'​ ภาค​ 1​ ในห้องน้ำร้าง​มีชาย​ 2​ คน​ถูกโซ่ล่ามไว้ที่ข้อเท้า​ ใกล้ตัวมีเลื่อยขึ้นสนิมเกรอะกรังวางอยู่​ พวกเขาต้องเลือก​ว่า​จะมีชีวิตอยู่ต่อโดยยอมตัดข้อเท้าทิ้ง​ หรือตายพร้อมกับข้อเท้าที่ยังคงอยู่ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับ​การ​ Chosen Idea​ ที่ใน​ 'บางครั้ง'​ เราต้องเลือกว่า​ จะยอมตัดโปรเจคทิ้ง​(ยอมเสียงบพัฒนาที่จ่ายไปทั้งหมด)​ หรือ​เสี่ยงไปต่อ​โดยมีอนาคตของบริษัทแขวนอยู่​

แน่นอนว่า นี่ไม่ใช่การตัดสินใจที่ง่ายเลย และถึงแม้​ Dyson​ จะเป็นบริษัทระดับโลก​ แม้ในทุก​ Product​ จะผ่านการคิดค้นและพัฒนาจนถึงขีดสุด​ แต่ก็ไม่ใช่ทุก​ Product​ ที่จะประสบความสำเร็จ.. มีหลายครั้งที่​ Dyson​ 'เจ็บหนัก'​ จากการตัดสินใจฝืนที่จะไปต่อ​ และมีหลายครั้ง​ที่เขา​ต้องยอมตัดโปรเจคทิ้ง​ เพื่อจำกัดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง


อย่างในกรณีของ​เครื่องดูดฝุ่นอัตโนมัติ​ DC-06 Robotic Vacuum Cleaner ที่ถูกพัฒนามาในช่วงปี 2000 ก็ต้องถูกยุบโปรเจคทิ้งในขั้นตอนนี้​ เพราะเคาะราคาสุดท้ายออกมาแล้ว​ 'มันเกินรับไหว'​และมันก็ไม่เคยได้ถูกเอาไปวางขายในตลาดเลย

ด้วยเหตุที่​ DC-06​ Robotic นี้​โจทย์หลักคือ​ Sensor ต้องทำงานตรวจจับเข้าถึงได้ทุกพื้นที่​ ซึ่งมันทำได้นะ​แต่เทคโนโลยีนี้มันแพง​เกินจะรับไหว​ และถ้าจะให้มันถูกลง​ประสิทธิภาพ​ก็จะไม่ตอบโจทย์การใช้งานที่ตั้งไว้​อีก..

จากบทเรียน​โดยตรงของ​ Dyson​ ทำให้เขาเรียนรู้ว่า​ ถ้า​ 'ราคา'​ มันไม่ใช่​แม้​ Product​ จะดีแค่ไหนมันก็ยากที่จะขายได้สำเร็จ​ แต่ในขณะเดียวกันถ้า​ Product​ ชิ้นนั้น​ มัน​ 'ดีเยี่ยม' และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งนวัตกรรม !! เหมือนเครื่องดูดฝุ่น G-Force ที่วางขายครั้งแรกในสมัยนั้น

ที่สุดท้ายถึงแม้มันจะแพง​ แต่ผู้คนก็จะยอมควักเงินจ่าย​ เพื่อซื้อชีวิตที่จะ​ 'ดีขึ้นอย่างชัดเจน'​ อยู่ดี

6.​ Product​ Development​

Product​ Development​ คือขั้นตอนการ 'พัฒนาโปรดักส์'​ ที่ผ่านการตัดสินใจมาแล้วอย่างเข้มข้น ​โดยมีหมุดหมายสำคัญอยู่ที่​ การทำยังไงให้โปรดักส์ชิ้นนี้​มันดีขึ้นไปอีก ​!! ​และที่สำคัญ คือต้องผลิตจริงได้ด้วย​

ด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม​และราคาที่เหมาะสม แน่นอนว่า​โดยรวม​ Product​ ที่มาถึงขั้นนี้ได้มันต้องดีในระดับหนึ่งแล้วล่ะ​ การ​ Develop จึงหมายถึงการพัฒนาปรับเปลี่ยนรายละเอียดยิบย่อยในแต่ละจุด​ ซึ่งอาจฟังดูเล็กน้อย​ แต่ถ้าคุณเชื่อในประโยคที่ว่า​ "พระเจ้าอยู่ในรายละเอียด" !! เหมือนชื่อหนังสือ​ที่เล่าถึงปรัชญาการทำงานของ​ MUJI​ แล้วล่ะก็

นี่คือเส้นบาง​ ๆ​ ที่ยากจะข้ามผ่าน​ นี่คือขั้นตอนสำคัญที่จะนำพา​ Product​ ที่ดี​ไปสู่คำว่า Product​ ที่​ 'ดีเยี่ยม'​ ก็ด้วยขั้นตอนนี้แหละ​ !!

เคยได้ยินคำว่า​ Plus​ Minus​ ( ± )​ ในการเขียนแบบไหม​ ​?

Plus​ Minus​ คือ ตัวเลขเผื่อ​ 'คลาดเคลื่อน'​ เช่น​ สมมุุติเราเขียนแบบน็อตตัวหนึ่ง​ ระบุขนาดไว้​ 5​ mm (±1)​ นั่นแปลว่า พอผลิตจริง​ขนาดของน็อตสามารถ​คลาดเคลื่อนเป็น​ 4​ mm​ หรือ​ 6​ mm​ ก็ได้​ และสิ่งหนึ่งที่ทำให้ไดร์เป่าผมของ​ Dyson​ 'ดีเยี่ยม'​ กว่าไดร์เป่าผมอื่น​ ๆ​ คือ​ประสิทธิภาพของลม​ ที่เกิดจาก​ขนาดของใบพัด​ที่​ Fit in กับ​ 'ท่อ'​ แบบ​ Plus​ Minus​ Zero (± 0)​ เมื่อ​ใบพัด​ Fit in​ กับ​ 'ท่อ'​ แบบเป๊ะ​ ๆ​ สิ่งที่เกิด​ คือลมที่ส่งออกมาจะไม่เกิดการตีย้อนกลับ​ เพราะไม่เหลือช่องว่างให้ย้อนกลับ​ นี่คือการส่งลมที่เต็มประสิทธิภาพที่สุด​เท่าที่จะเป็นไปได้

ประเด็นอยู่ที่ 'ใบพัด'​ ถ้าผลิต​แบบ​ Mass ในระบบโรงงานมันจะเกิดความคลาดเคลื่อนเสมอ​ อาจเล็กบ้างใหญ่บ้างตามกระบวนการผลิต​ ซึ่งถือเป็นเรื่องปรกติ​
ประเด็นต่อมาคือ​ ถ้าใบพัดเล็ก​มันจะเกิด 'ช่องว่าง'​ ที่ทำให้ลมตีย้อนกลับ.. หรือถ้าใหญ่ไป ก็จะใส่ท่อไม่ได้..

นี่คือข้อจำกัดที่เกิดจากกระบวนการผลิต​ ที่นักออกแบบ, บริษัท, หรือโรงงาน​ต่างก้มหน้ายอมรับ แต่ข้อจำกัดนี้ใช้ไม่ได้กับชายที่ชื่อว่า​ Dyson​ ..

วิธีการเดียวที่จะสร้างใบพัดที่​ Fit​ In​ แบบ​ (± 0) ได้คือการ​ CNC (Computer Numerical Control)​

ในวิธีการผลิตแบบ​ Mass​ จะใช้วิธีฉีดพลาสติกลงแม่พิมพ์​ ซึ่งแน่นอนว่ามันได้ในเรื่องของจำนวน​ แต่การ​ CNC​ นั้น​ ใช้วิธีการแบบ​ 'แกะสลัก'​ ซึ่งแน่นอนว่ามันได้ในเรื่องของความเป๊ะ​ แต่มันผลิต​แบบ​ Mass​ ไม่ได้.. เพราะ​มันต้อง​แกะสลักแบบ 'ชิ้นต่อชิ้น'​ เรียกได้ว่าสิ้นเปลืองทรัพยากรมหาศาล​ ทั้งในเรื่องของเวลา​ทั้งในเรื่องของเงินทุน​ หรือพูดแบบบ้าน​ ๆ​ คือ​คนปรกติ​เขาไม่​ทำ​ CNC​ ในโปรดักส์แบบ​ Mass​ กันหรอก และแน่นอนว่า​ Dyson​ ไม่ใช่คนปรกติ​(ชม)​ !! ในท้ายที่สุดเขาและทีมก็คิดค้นหาวิธีทำ​ CNC ให้​ Mass​ จนได้​ !! (ซึ่งเราไม่ขอลงรายละเอียดในตอนนี้)​

นี่คือตัวอย่างเหตุผลหนึ่ง​ ที่ทำให้​ไดร์เป่าผม​ของ Dyson​ 'ดีเยี่ยม'​ กว่าไดร์เป่าผมอื่น​ ๆ​ และหากมองให้ลึกลงไป​ นี่คือหลักฐานที่ชัดแจ้งที่สุด​ของประโยคที่ว่า​

"พระเจ้าอยู่ในรายละเอียด"

และนี่แหละคือเส้นบาง​ ๆ​ ที่ยากจะข้ามผ่าน​ที่เราพูดถึง​ นี่คือขั้นตอนสำคัญที่จะนำพา​ Product​ ที่ดี​ไปสู่คำว่า Product​ ที่​ 'ดีเยี่ยม'​ ก็ด้วยขั้นตอนนี้แหละ​ !!

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า​ทำไม​ Dyson​ ถึงล้มเหลวถึง​ 5,126 ครั้ง​ !! อันที่จริงเขาอาจทำเครื่องดูดฝุ่น​ระบบ​ Cyclone ​สำเร็จตั้งแต่ครั้งที่​พันกว่า​ ๆ​ แล้วก็เป็นได้​ เพียงแต่ถ้ามันยังไม่สุด ​ถ้ามันยัง​ Develop ให้ดีขึ้นกว่านี้ได้อีก​ Dyson​ จะไม่ยอมปล่อยผ่านโดยเด็ดขาด​ !!

There are​ no two words in the​ English language​ more harmful than Good Job.
ไม่มีคำไหน​ที่อันตรายไปกว่าคำว่า “ทำดีแล้ว
— Whiplash (2014)

ประโยคจาก​หนังเรื่อง​ Whiplash​ ที่ครูสอนดนตรีหัวรุนแรงคนหนึ่ง​ เขวี้ยงฉาบเหล็กใส่หน้าลูกศิษย์​เพียงเพื่อจะ​ 'กระตุ้น'​ ให้เขา​ตีกลองได้ดีขึ้น​ !! ได้กล่าวไว้ (ดีที่ลูกศิษย์ซึ่งก็คือพระเอกหลบทัน ไม่งั้นหนังคงจบตั้งแต่ต้นเรื่อง)


แน่นอนว่า '​ทำ​ดีแล้ว'​ คำนี้​อาจดีต่อใจ​ในวันที่เรากำลังต้องการกำลังใจ ในวันที่เราต้องการหยุดพัก ​หรือหมดแรงจะไปต่อ ซึ่งใช้ได้ไม่ผิด แต่​มันอันตรายอย่างถึงที่สุด​ สำหรับผู้ที่ต้องการทลายขีดจำกัดบางอย่าง​ !! การจะไปให้ถึง​คำว่า​นวัตกรรม​ Innovation​ หรือ​ 'ดีขึ้นอย่างชัดเจน'​ นั้น​จะไม่มีการประนีประนอมโดยเด็ดขาด​

ซึ่งถามว่า​ แล้วมันจำเป็นไหมที่ต้องเครียด, ต้องกดดัน,​ หรือต้องบีบคั้น​ขนาดนั้นเลยเหรอ​​ ? ตอบเ​ลยว่า​ "ไม่จำเป็น" และมัน​ "เป็นคนละเรื่องเดียวกัน"

7.​ Production &​ Testing

Production &​ Testing คือ 'ขั้น​ตอนสุดท้าย'​ ที่จะว่าด้วยเรื่องของการผลิต, ประกอบ, ลองแพ็คลงกล่อง​ ก่อน​ 'ทดสอบ'​ ด้วยการโยนลงมาจากที่สูง​ !!

โดยปรกติความสูงในการ Test จะอยู่ที่ประมาณ​ 1​ เมตร​ ตามพฤติกรรมการขนส่งของพนักงาน​ ที่อาจต้องมีการโยนขนส่งสินค้าขึ้นรถบ้าง นี่คือขั้นตอนสุดท้าย​ที่จะ​ Make​ Sure ว่าผลิตภัณฑ์ของเราจะไม่มีอะไรผิดพลาด​เมื่อถึงมือลูกค้า ซึ่งนอกจากจะ​ Test​ ความแข็งแกร่ง, อึด, ถึก, และทน​ ด้วยวิธีการ Extreme แบบต่าง​ ๆ​ แล้ว​ ​ยังทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานอย่างเข้มข้นไม่แพ้กัน​ด้วย

https://www.youtube.com/watch?v=tzkgkAdvEnk

ดังตัวอย่างคลิป(ช่วงนาทีที่ 18) ที่มีการ Test เครื่องดูดฝุ่น​ โดยให้ดูดพรมที่วางไว้บนแป้นหมุน​ ซึ่งจะสลับสับเปลี่ยนพรมหลากชนิด​ เพื่อทดสอบการทำงานให้ครอบคลุมทุกพื้นผิว ซึ่ง​ Dyson​ กล่าวว่า​ ขั้นตอนนี้ไม่ยากนะ​แต่หัว​จะปวด.. เพราะถ้า​ Test แล้วมันไม่เวิร์คตรงไหน​ก็ต้องแก้วนไปจนกว่ามันจะเวิร์ค​ ​!!

บทส่งท้าย

Some of the best inventive moments are born out of ‘wrong thinking’. Most people start with the right way so they all follow the same path. The wrong way will lead to mistakes from which you can learn and create new discoveries-the kind of original ideas that come to life when we dare to be different, keep an open mind, and have no fear of failure.
ช่วงเวลาแห่งการสร้างสรรค์ที่ดีที่สุด​ เกิดขึ้นจาก ‘การคิดผิด’ คนส่วนใหญ่มักเริ่มต้นด้วยหนทางที่ถูกต้อง ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงเดินไปตามเส้นทางเดียวกันทางที่ผิดจะนำไปสู่ความผิดพลาด ที่จะทำให้คุณได้เรียนรู้ ค้นพบ​ เปิดรับ​ และได้สร้างสรรค์ Original Idea​ ให้เข้ามาสู่ชีวิตคุณ เมื่อคุณกล้าที่จะแตกต่าง เปิดใจให้กว้าง และไม่กลัวความล้มเหลว
— Sir James Dyson

หลังจากที่ DC-001 ขายได้อย่างถล่มทลาย ทุกคนในบริษัทรวมถึงทุกคนในครอบครัวต่างดีใจ และพึงพอใจกับมันอย่างถึงที่สุด ยกเว้น Dyson เพียงผู้เดียวที่มองว่าความสำเร็จและการพึงพอใจกับ DC-001 นี้ คือความอันตราย.. เพราะถ้าให้เทียบกัน มันคงเหมือนกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของ Hoover ในครั้งที่ทำเครื่องดูดฝุ่นแบบใช้ถุงผ้าเครื่องแรกของโลกสำเร็จเมื่อปี 1903

ความสำเร็จนั้นเป็นสิ่งดี แต่การยึดติดในความสำเร็จหรือคำตอบที่คิดว่าดีที่สุดนี่สิ ‘น่ากลัว’

เพราะสิ่งนี้แหละคือสิ่งที่ทำให้ 100 ปีหลังจากนั้น เครื่องดูดฝุ่นก็แทบไม่พัฒนาขึ้นอีกเลย ประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอย ถ้าไม่เพียงแต่ Dyson ได้รับนักศึกษาจบใหม่คนหนึ่ง เข้ามาในทีม R&D เพื่อสร้างสรรค์ DC-002

โดยมีโจทย์ที่ว่า เราจะทำยังไงให้เครื่องดูดฝุ่นไร้ถุงผ้านี้ ‘เล็กที่สุด’ เท่าที่จะเป็นไปได้

สิ่งที่น่าสนใจกว่าการรับเด็กจบใหม่ที่ไร้ประสบการณ์เข้าทำงาน ในบริษัทที่ถือได้ว่าเป็น ‘Unicorn’ ในสมัยนั้น คือการที่ Dyson ยืนยันที่จะทำโปรเจคที่ว่านี้กับเด็กจบใหม่ เพียงแค่ 2 คนเท่านั้น !! แน่นอนว่าสิ่งที่ Dyson ต้องการ เพื่อการเริ่มต้นค้นหาคำตอบใหม่ที่ดีที่สุดอีกครั้งหนึ่ง คือความไม่กลัวที่จะผิด !! เพราะมันผิดแน่ ๆ (ใครจะรู้คำตอบที่ถูกต้องของสิ่งที่ยังไม่เคยมีมาก่อน) และไม่ต้องกลัวเลยที่จะได้คำตอบโง่ ๆ ออกมา เพราะมันโง่แน่นอน

แต่นี่คือหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้ Dyson ไม่เดินซ้ำรอย Hoover สิ่งหนึ่งที่เขาจะไม่ยอมสูญเสียไปโดยเด็ดขาดคือ ‘ความกล้าที่จะล้มเหลว’ และเรียนรู้

ล้มเหลวและเรียนรู้ นี่แหละคือสุดยอดอาวุธที่ร้ายกาจที่สุดของเขา !! เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เรา ‘สูญเสียความกล้า’ ที่จะผิดพลาดและล้มเหลว นั่นหมายถึงเราได้สูญเสียโอกาสที่จะเรียนรู้และดีขึ้น ด้วยเช่นกัน


อีกเหตุผลหนึ่งที่ Dyson ให้โอกาสเด็กจบใหม่ที่ไร้ประสบการณ์เข้าทำงานใน Project นี้ เราเชื่อว่านี่คือการ ‘ส่งต่อ’ โอกาสที่เขาเคยได้รับมาเหมือนในวันที่ Dyson ได้รับโอกาสให้เข้าร่วม Project ออกแบบเรือบรรทุก Rotock Sea Truck จาก Tim Fry ในวันที่เขายังเป็นนักศึกษาอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งนี้คือประสบการณ์อันล้ำค่า​ ที่ทำให้เด็กหนุ่มที่ชื่อว่า James Dyson กลายเป็น Dyson ผู้ยิ่งใหญ่ได้เหมือนในทุกวันนี้

บทสรุป​ "Dyson​ Design​ Process​ 7​ Step​
7​ ขั้นตอนพัฒนาผลิตภัณฑ์​ สไตล์​ Dyson"

และทั้งหมดนี้​คือขั้นตอนการพัฒนา​ผลิตภัณฑ์​ ทั้ง​ 7​ ขั้นตอน​ ในแบบฉบับของ​ Dyson​ ที่มีใจความสำคัญในขั้นตอน​ต่าง​ ๆ​ ดังนี้​

  1. Brief​ ให้เคลียร์ชัดและซัดให้ตรงจุด

  2. Research​ ข้อมูลเฉพาะ​ คือกุญแจ​สำคัญ​

  3. Idea​ Development​ การหาคำตอบด้วย​ Design

  4. Specification​ จิ๊กซอว์​ของผลิตภัณฑ์และราคา

  5. Chosen Idea​ การตัดสินใจ​ ไปต่อหรือพอแค่นี้

  6. Product​ Development​ พระเจ้าอยู่ในรายละเอียด

  7. Production &​ Testing ทดสอบซ้ำกันผิดพลาด

นี่คือขั้นบันได​ทั้ง​ 7​ ขั้นสำหรับผู้ที่ต้องการนวัตกรรม​ Innovation​ หรือความ​ 'ดีขึ้นอย่างชัดเจน' เราเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า​ ​สิ่งนี้​ไม่ถูกจำกัดอยู่ในแวดวงเทคโนโลยี​ หรือการออกแบบเพียงเท่านั้น​ ด้วยความเชื่อที่ว่า

"กิ่งก้านใบของนวัตกรรมนั้น​ ล้วนมาจากรากเดียวกัน"

ซึ่งเราขอพิสูจน์​และท้าทายความเชื่อที่ว่านี้โดยการ​ Translate​ ขั้นบันไดทั้ง​ 7​ ของ​ Dyson​ ว่า​ ถ้าไม่ใช่​เรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์ แนวความคิดนี้ยังปรับใช้ได้จริงอยู่ไหม​ ?

ติดตามความท้าทายนี้ได้​ในบทความครั้งต่อไป ใน​ภาคเสริมของ Dyson​ Design​ Process​ 7​ Step​ x 'เทพเจ้าแห่งซูชิ'​

ทางเพจ Class A Solution
หรือ
https://www.class-a-solution.com/blog


และสุดท้ายนี้​ หากคุณอยากเปลี่ยนให้องค์กรของคุณเต็มไปด้วยนวัตกรรม จงหยุดหัวเราะให้ความล้มเหลว จงเริ่มฟังคำตอบที่ดูไม่ฉลาด และจงเปิดโอกาสให้คนที่มีไฟ ที่พร้อมจะเรียนรู้จากความล้มเหลวแบบไม่มีที่สิ้นสุด หรือทักมาคุยกับเรา Class A Solution ที่พร้อมจะให้คำแนะนำในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Product Design ด้วยประสบการณ์การออกแบบให้ลูกค้าทั้งไทย และต่างประเทศมากว่า 15 ปีพร้อมทีมพัฒนาที่จะช่วยต่อยอด Idea ของคุณให้ไม่หยุดอยู่แค่ในกระดาษ เพื่อให้ Idea นั้นถูกพัฒนาผลิตและวางขายสู่ตลาดจริงได้อย่างมั่นใจ

ที่มา : http://dysonservicecentre.com/

เรียบเรียง​ : Mairilyn
ข้อมูล​ &​ เนื้อหา​ : PK

Previous
Previous

ประสบการณ์เข้าร่วมงานประกวดของ PK (เจ้าของเพจ) บนเวทีระดับประเทศ American Standard Design Award 2022

Next
Next

James Dyson ( part 1 ) เจ้าแห่ง Innovation สุดยอดนักออกแบบผู้บดขยี้ PainPoint ให้เป็นผุยผง