Karim Rashid ตำนานผู้ทำให้สีชมพูก็เท่ได้

"การงานคือความรักก่อตัวเป็นรูปร่าง"

Kahlil Gibran (คาริล ยิบราน)​ กวี​ นักเขียน​ และศิลปินได้กล่าวไว้

ถ้าการงานคือ​ "ความรัก" ที่ก่อตัวเป็นรูปร่าง​จริงงั้น​ Designer​ ที่มีผลงานการออกแบบตลอดช่วง​ 3​ ทศวรรษ​กว่า​ 4,000 ชิ้นล่ะ!!​ นี่มันต้าว​ "คลั่งรัก" ชัดๆ

วันนี้​ Class​ A​ Solution​ สุดแสนภูมิใจจะนำเสนอ สุดยอดนักออกแบบเจ้าของรางวัล​ 2020 American Prize​ for​ Designer​ (รางวัลการออกแบบมาตรฐานสูงสุดในสหรัฐอเมริกา)​ และรางวัลระดับโลกอีกไม่ต่ำกว่า​ 300 รางวัล​ เคยร่วมงานมาไม่ต่ำกว่า​ 40​ ประเทศทั่วโลก

นักออกแบบผู้เป็นทั้ง​ industrial designer, interior designer, graphic designer, artist, illustrator, แถมยังเป็นศิลปิน​ ที่มีผลงานเพลงเป็นของตัวเองอีกด้วย!!

เรียกได้ว่า "เ​ป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว"

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียนาฬิกา(เวลา)​ ขอเชิญพับกบ(พบกับ)​ Karim​ Rashid​ นักออกแบบ​ผู้สุดแสนจะมีสไตล์ที่เจ้าตัวบอกว่า​ ตัวเองไม่ได้ทำงานสไตล์​!? เรื่องราว​และแนวความคิดของเค้าจะเป็นอย่างไร​ อะไรที่ทำให้เค้าประสบความสำเร็จมาได้จนถึงทุกวันนี้ ขอเชิญทุกท่านร่วมดำดิ่งไปกับเราได้​ ณ​ บัด​ Now!!

karim rashid

Karim​ Rashid​ เกิดที่อียิปต์​ในปี​ 1960 ก่อนย้ายถิ่นฐานไปเติบโตที่แคนาดา​ และสหรัฐอเมริกา​ สำเร็จการศึกษาด้าน​ Industrial Design​ จากมหาวิทยาลัย​ Careleton​ ประเทศแคนาดา มหาวิทยาลัยแห่งนี้​ถือเป็นรากฐานสำคัญ​บนเส้นทางสู่การเป็น​ Designer​ ​ของเค้า​ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง​แนวความคิดเรื่อง​ "สัจจะ​วัสดุ" ที่เน้นการออกแบบ​ โดยให้วัสดุที่นำมาใช้​ได้แสดงตัวตน และใช้ประโยชน์จากวัสดุอย่างสมเหตุสมผล เช่น​

  • ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ไม้​ ต้องแสดงความเป็นไม้​ และใช้งานได้สมคุณค่าความเป็นไม้

  • เหล็กต้องเป็นเหล็ก​ โชว์พื้นผิว​ สี​ ลวดลายของวัสดุ​ โดยไม่จำเป็นต้องมีอะไรมาปิดทับ

ยอมรับ​และเข้าใจการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของวัสดุ ซึ่งเป็นสิ่งที่ครูชาวสแกนดิเนเวียได้ถ่ายทอดให้เขาอย่างถึงแก่น

แนวความคิด​นี้ส่งผลให้ Karim​ Rashid​ มีความเข้าใจในวัสดุสูงมาก​ ทั้งในแง่ของคุณสมบัติ​ และข้อจำกัดของวัสดุ​ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขานึกขอบคุณอาจารย์อยู่เสมอ

เพียงแต่ว่า.. จำเป็นไหม​ที่ลูกของนายแพทย์ใหญ่​ เรียนจบโตมา​ แล้วต้องเป็นหมอ?
ถ้าคำตอบของคุณคือ​​ ไม่​

Karim​ Rashid​ ก็เช่นกัน​ ถึงแม้จะบรรลุ​แนวความคิดเรื่อง​ "สัจจะวัสดุ" แต่โปรดักส์ของเขา​ "สีสัน" นี่เรียกได้ว่า โคตรจัดจ้าน​ ซึ่งสวนทางกับ​แนวความคิดเรื่องสัจจะวัสดุ​ ที่อาจารย์บ่มเพาะมาโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง​สี "ชมพู" ​ที่เขาเคยให้ความเห็นไว้อย่างน่าสนใจ​ว่า​ ทำไมสีชมพูต้องถูกผูกไว้กับผู้หญิง​ ผู้ชายอย่างเขาก็สนุก​สนาน มีชีวิตชีวา​ มุ๊งมิ๊ง กับสีชมพูแบบ​ "หล่อเท่" ได้เช่นกัน​

แนวความคิดเรื่อง "สีสัน" นี้​ สะท้อนทั้งชีวิต​ มุมมอง​ และตัวตนของเขาต่องาน​ Design ได้เป็นอย่างดี "สนุก​ ร่าเริง หวือหวา​ ฉูดฉาด​ ทรงพลัง" คือสิ่งที่เขาพูดผ่านงาน​ Design​ ของเขาอยู่เสมอ​ซึ่งต่างจากปรัชญาการออกแบบของ​ Naoto Fukasawa​ โดยสิ้นเชิง​ ( อ่านบท​ความ​ของ Naoto Fukasawa​ )

"หากโลกมันจืดชืด​น่าเบื่อนัก​ ฉันจะเติมสีสันให้มันเอง" Karim​ Rashid เจ้าของฉายา​ King of Colour ไม่ได้กล่าว​ ผู้เขียนมโนขึ้นมาเอง(ฮา) เปลือกนอกหวือหวา​ ใช่ว่าข้างในต้องไร้แก่น เปลือกนอกเรียบง่าย​ ใช่ว่าข้างในต้องมีคุณค่า

เคยได้ยินคำว่า​ "Minimal​ แบบกลวง​ ๆ​" ไหม? คำนี้น่าจะถูกกล่าวในช่วงปี​ 2000 สมัยที่งาน​ Minimal​ เฟื่องฟู​ มองไปทางไหนก็​ มินิม๊อล​~ มินิมอล..

Less is more หรือที่แปลเป็นไทยว่า น้อยแต่มาก วลีฮิตของ Ludwig Mies van der Rohe สถาปนิกลูกครึ่งเยอร์มัน-อเมริกัน​ วลีนี้ถือเป็น​แก่น​ของปรัชญา​ Minimal​ ที่หลายคนให้การยอมรับ แต่ถ้างาน​ น้อยแต่น้อย​ หรือ​น้อยแต่ใช้จริง​ ผลิตจริงไม่ได้ละ​ มันยัง​ Minimal อยู่ไหม? เฟอร์นิเจอร์​ Minimal เหลี่ยม "คมกริบ" ที่พร้อมจะบาดแข้งบาดก้น ของใช้​ Minimal​ ที่น้อยจนใช้งานจริงแล้วโคตรไม่​ฟังก์ชัน​ นี่กระมังที่มีคนเขาเรียกว่า​ Minimal ​แบบกลวง​ ๆ​ .. แต่ในขณะเดียวกัน​ เชื่อหรือไม่ว่าผลงานดีไซน์ของ​ Karim​ Rashid​ นี่แหละ​ Minimal​ ​!?

"Sensual Minimalism" คือนิยามงานออกแบบของเขา​ ซึ่งถ้าจะให้แปลเป็นไทย​ อืม.. จะแปลยังไงดีนะ? แปลว่า​ "ความเรียบง่ายที่เย้ายวน" ละกัน​ เพราะในหลาย​ ๆ​ งานเขา​ได้แรงบันดาลใจในการสร้าง​ Form​ มาจาก​ ทรวดทรง​ และองค์เอว​ของผู้หญิง​ เพียงแต่ว่า​ที่มัน​ "ไม่กลวง" เพราะฟอร์มมันตอบสนองต่อฟังก์ชันการใช้งานได้ดีด้วยนี่สิ!!

อีกสิ่งที่ขาดไม่ได้ เวลาเราพูดถึง​เซเลบนักออกแบบ​​คนนี้​ คือเรื่องของ​ Style​ (สไตล์)​ ซึ่งเจ้าตัวออกตัวว่า​ เขาไม่ได้ทำงาน​สไตล์นะ​ !? ทำไมเขาถึงกล่าวเช่นนั้น​ ?

Style​ แปลว่า​ ลีลา, ท่าทาง​ และวิธีการ

ซึ่งในชีวิตจริงเราใช้คำนี้กันจนชินปาก​ ไม่ว่าเวลาจะกล่าวถึงสไตล์เพลง​ สไตล์การแต่งตัว​ หรือ​สไตล์แบบหนุ่มเกาหลี​ (-///-)​ แต่รู้หมือไร่​ว่า​ Style​ นั้นมีจุดกำเนิด​ หรือมีที่มาจากอะไร​? Karim​ Rashid​ ได้อธิบายการกำเนิดของสไตล์ไว้อย่างน่าสนใจ​ ว่า​สไตล์จะเกิดได้จาก​ 3​ Step นี้​คือ

  1. Moment​ คือการเกิดขึ้นของอะไรบางอย่างที่ส่งผลมากต่อสังคม เช่น​ การเปลี่ยนแปลงนโยบายประเทศ โรคระบาด​ เทคโนโลยี​ ฯลฯ

  2. Movement คือ "รีแอคชั่น" ของคนส่วนใหญ่​ต่อโมเมนต์​ที่เกิดขึ้น​ ซึ่งเราจะได้เห็นคนมากมายทำสิ่งต่าง​ ๆ​ และจะดำเนินต่อไปเรื่อย​ ๆ​ จนกว่าแอคชั่นนั้นจะหมด​ อิ่มตัว​ หรือยุติลง

  3. เมื่อฝุ่นควันจางหาย​ ทุกอย่าง​ "ตกตะกอน" เมื่อนั้นแหละ​ ที่เราจะสรุปได้ว่า​ ลีลา, ท่าทาง, วิธีการ​ และสิ่งต่าง​ ๆ​ ที่เกิดขึ้น​ ณ ช่วงเวลานั้น​ มันคือ Style อะไร​ ?

ถ้ายังไม่เห็นภาพ​เราขอยกตัวอย่าง​ ​กรณีการเกิดขึ้นของ​ ​Style​ ที่เชื่อว่าคนเกือบทั้งโลกน่าจะรู้จัก​ ผ่าน​ผลงานเพลง​ของแร็ปเปอร์ชาวเกาหลีสุดกวน​ นั่นก็คือ (โอปป้า)​กังนัม​ Style..

  • Moment​ สำคัญเกิดจากนโยบายภาครัฐ ซึ่งทำให้เศรษฐกิจในเกาหลีเติบโต​แบบก้าวกระโดด ในช่วงยุค 1970 ย่านกังนัมได้รับผลเต็ม​ ๆ​ เนื่องจากเป็นทำเลทอง​ ราคาที่ดินพุ่งกระฉูด​

  • Movement หรือ​ "รีแอคชั่น" ที่เกิดขึ้น​ คือ​นักลงทุน​ เจ้าของที่ดิน​ รวมถึงผู้คนมากมาย​แห่กันมาจับจองพื้นที่​ ส่งผลให้ย่านกังนัม​เต็มไปด้วยร้านค้าแบรนด์เนม คลินิกศัลยกรรม สถาบันกวดวิชา และ​เป็นที่ตั้งของบริษัทต่างชาติขนาดใหญ่มากมาย​

  • เมื่อพื้นที่ในย่านกังนัมถูกจับจองจนเต็ม​ ทุกอย่างเริ่มนิ่ง​ ละอองฝุ่นเริ่มจางลง​ "ตกตะกอน" กลายเป็น.. กังนัม Style ย่านที่มีภาพลักษณ์ของความหรูหรา​ ภาพเศรษฐี​ (โอปป้า)​ รุ่นใหม่​ ซึ่งต่างจากภาพลักษณ์​เศรษฐีรุ่นเก่า​ ๆ​ อย่างสิ้นเชิง

ด้วยเหตุนี้​ เมื่อมีลูกค้ามาบอก​ Karim​ Rashid​ ให้ทำงาน​ Style​ ใดๆก็ตาม​ เขาจึงมักจะ "ปฏิเสธ" อยู่เสมอ เพราะเมื่อใดที่คุณบอกให้​ Designer​ ทำงาน​ Style​ แปลว่าคุณกำลังบังคับ​ให้​ Designer​ ทำงานโดยยึดโยงอยู่กับอดีต​ เพรา​ะ​การที่คุณระบุ Style ได้แสดงว่า Movement นั้นจบไปแล้ว​ และมันจะไม่หวนกลับมาเป็นปัจจุบันได้อีก เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน movement ก็จะปรับเปลี่ยนไปตาม

จะมีประโยชน์อันใด​ ที่เราจะตอบโจทย์ความต้องการใหม่ๆในปัจจุบัน​ โดยลอกคำตอบจากอดีต..

นี่คือความจำเป็น​ ที่​ทำให้ Karim​ Rashid​ ต้องการนำเสนองาน​โดยยึด "โจทย์" ที่เกิดขึ้นจาก​ Moment ณ​ ปัจจุบัน ก่อนที่เขาจะพยายามสร้าง​ Movement หรือ​ "คำตอบ" บางอย่าง​ด้วยงานออกแบบของเขา​ ซึ่งเจ้าตัวก็ระบุไม่ได้เหมือนกันว่า มันคือ​ Style​ อะไร?​ จนกว่า​ Movement นั้นจะจบลง ด้วยเหตุนี้ผลงานออกแบบของ Karim​ Rashid​ จึง​ "สด" ด้วยคำตอบใหม่​ และสร้างความตื่นตาตื่นใจได้อยู่เสมอ

"ทำงานถ้าไม่สนุกมันก็เหนื่อย" ประโยคหนึ่ง​ที่​ พี่ป็อด​โมเดิร์นด็อก​ เคยกล่าวไว้​ในภาพยนตร์สารคดีเรื่อง​ ตัวกูของกู​ ของ​ สันติ​ แต้พานิช

ลองคิดกันดูเล่นๆ​ว่า​ Karim​ Rashid​ ได้ออกแบบผลงาน​คร่าวๆ​ประมาณ 4,000​ ชิ้น​ ภายใน​ 30​ ปี​ หรือตีกลมๆ 10,950 วัน​ แปลว่า​เขา​ต้องออกแบบผลงาน​แล้วเสร็จ​ 3​ วัน​ต่อ​ 1​ ชิ้น​ ชื่อเสียง, ​เงินทอง,​ รางวัล​ และคำชื่นชม​เหรอ ที่ทำให้เขาทำงานได้ต่อเนื่อง​และยาวนานขนาดนี้ ? ไม่รู้เหมือนกัน​ รู้แค่เพียงจากทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นสิ่งที่พอจะสรุปได้​คือ​ เขาพยายามหาทางที่จะ​ "สนุก" กับงานที่เขาทำ ซึ่งมันก็คงต้องผ่านการยืนยัน​ การดื้อ เพื่อที่เขาจะได้ทำในสิ่งที่เขารัก​ ด้วยวิธีการ​และมุมมองในแบบที่เขาเชื่อ​

ซึ่งนั่นคือสาระสำคัญที่เรามองเห็น​ และอยากส่งต่อให้คุณผู้อ่านที่รักได้รับรู้ ​

คำถามทิ้งท้าย ทุกวันนี้คุณยัง​ "สนุก" กับงานที่ทำไหม​ ?

karim rashid - prince of plastic

Karim​ Rashid​ - Prince of Plastic

"ขยะ" คือมุมมองที่ผู้คนส่วนใหญ่มีต่อ​ Plastic

ในช่วงปี​ 1980 - 1999 โปรดักส์จาก​ Plastic​ แทบทั้งหมด​ถูกผลิตแบบ​ "เน้นถูก​ไม่เน้นทน" มีอายุการใช้งาน​ไม่ยาวนัก​ เรียกได้ว่า​แทบจะไม่มีใครเห็น​คุณค่า ของ​ Plastic​ เลย​แม้แต่ตัวนักออกแบบเองก็ตาม ซึ่งว่ากันตามจริงแล้ว​ Plastic ไม่ได้ผิดอะไรแรกเริ่มเดิมที​ Plastic​ ถูกคิดค้นเพื่อใช้เป็นวัสดุทดแทน "งาช้าง" ในการทำลูก​บิลเลียด​ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางธุรกิจ​ หรืออะไรก็ตามแต่​ ข้อเท็จจริงก็คือ ​Plastic​ ได้​ช่วยชีวิตช้างจำนวนมหาศาลแน่นอน ยังไม่นับรวม​ต้นไม้​ ที่​ Plastic​ เข้ามาเป็นวัสดุทดแทน ต้นไม้​ 1​ ต้น​เมื่อใช้หมดไป​ การ​ปลูกทดแทน​ ต้องใช้ต้นทุนเวลา​ น้ำ​ และทรัพยากร​ต่างๆอีกมากมาย มิหนำซ้ำ​ ใบ​และ​เปลือกไม้​ เราก็ไม่ได้ใช้งาน จึงถือได้ว่าเราใช้​ต้นไม้​อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ​นัก​ เมื่อเทียบกับ​ Plastic

Plastic​ เมื่อหมดอายุการใช้งาน​ สามารถนำมาตัด​ สับ หลอมละลายกลับมาใช้ใหม่ได้​ ซึ่งจริง ๆ แล้ว​ Plastic​ ควรถูกยกย่องว่าเป็นวัสดุกู้โลกด้วยซ้ำ​ !! เพียงแต่ "ปัญหาที่แท้จริง" อยู่ที่กระบวนการจัดเก็บ​แยกขยะ​ Plastic เพื่อนำกลับมา​ Recycle ใหม่มันไร้ประสิทธิภาพต่างหาก​ !! ซึ่งพอ​ Plastic​ ทั้งหลายถูกทิ้งสู่ธรรมชาติ​ ด้วยน้ำมือของมนุษย์​ ผนวกกับการจัดการที่ไร้ประสิทธิภาพของรัฐ​ Plastic​ จึงต้องกลายเป็นแพะรับบาปอย่างหลีกเลี่ยงมิได้​ นี่คือสิ่งที่ Karim​ Rashid​ ​ มองเห็น​ และเลือกที่จะแก้ปัญหา​ โดยการทำให้​ Plastic​ มี​ "คุณค่า" ขึ้นมาด้วยฝีมือการออกแบบของเขา

ซึ่งเราจะเห็นสิ่งนี้ได้ชัด​ ผ่านผลงานที่เค้าได้ออกแบบให้กับ Method​ บริษัทผู้ผลิตและจำหน่าย​ น้ำยาล้างจาน​ น้ำยาล้างมือ​ น้ำยาซักผ้า​ และอื่น ๆ


ก่อนจะพูดถึงโปรดักส์ชิ้นนี้​ ต้องขอพูดถึงการออกแบบ "มิติที่​ 4" หรือ​ User Experience ในมุมมองของ Karim เสียก่อน

ในสมัยก่อน​ นักออกแบบ​จะออกแบบสินค้าใด​ ๆ​ ต้องร่างและเขียนแบบ​ลงกระดาษ​ (ออกแบบ 2​ มิติ) ก่อน​ที่จะส่งแบบให้ช่างหรือโรงงานผลิต​ใดก็ตามแต่​ และด้วยความที่เป็น​ 2​ มิติ​ มันก็จะมีจุด​ มีมุม​ ที่มองไม่เห็น​ จินตนาการไม่ถึง ไม่สามารถออกแบบได้อยู่ เพราะการที่จะได้เห็นสิ่งที่ออกแบบครบถ้วนจริง​ ๆ​ ก็ต้องทำโมเดล หรือผลิตสินค้าชิ้นนั้นออกมาก่อน พูดง่าย​ ๆ​ คือ ถ้าออกแบบจาก 2​ มิติ ผลลัพธ์ก็จะเป็น 3​ มิติ

แต่เมื่อเทคโนโลยี​คอมพิวเตอร์​ โปรแกรมต่าง​ ๆ​ ก้าวมาถึงจุดที่มนุษย์เราสามารถออกแบบชิ้นงาน​ 3​ มิติ​ได้ (CAD 3D) ในช่วงปลายปี 70s​ นักออกแบบสามารถพลิกงานดูได้แบบ​ 360 องศา​ จึงสามารถออกแบบได้ครบ​ทุกมุมมอง​ และสามารถใส่รายละเอียดได้มากขึ้น​มหาศาล โดยมิต้องรอให้เห็นชิ้นงานจริงก่อน
ซึ่งพอเราใช้เครื่องมือที่สามารถออกแบบใน​มิติที่​ 3​ ได้ นักออกแบบก็สามารถคิดไปได้ไกลกว่า​ แค่เรื่องของรูปลักษณ์และรูปทรง​ ปัจจุบันโลกเราก็มาถึงยุคนี้แหละ​ ยุคแห่งการออกแบบ​มิติ​ที่​ 4​ หรือ "เวลา" ซึ่งมันแปลงร่างมาเป็น​ User Experience หรือความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่มีต่อ Object ในช่วงเวลาหนึ่ง​ ๆ ที่​ Karim​ Rashid​ เป็น​ Designer​ คนแรก​ ๆ​ ที่พูดถึงสิ่งนี้ และนำมาใช้ในงานออกแบบจริงให้เห็น

ยกตัวอย่างนักออกแบบสามารถคิดต่อได้ว่า ถ้าเราเพิ่มปุ่มกดเข้าไปที่ใดที่หนึ่ง บนผลิตภัณฑ์ ปุ่มนั้นจะถูกใช้งานเมื่อใด และอย่างไร​ ? และนักออกแบบก็สามารถหมุนโมเดลดู เป็นพัน หมื่น รอบใน โปรแกรม 3D หรือ CAD เพื่อหาวิธีการใช้งานที่ดีที่สุด​ ให้กับเจ้าปุ่มนั้น ซึ่งมันไม่สามารถทำได้เลยหากไม่มี Software มาช่วย สรุปง่ายๆคือ ถ้าเราสามารถออกแบบใน 3 มิติได้ ผลลัพธ์ที่ได้คือ มิติที่ 4 ที่จะส่งผ่านให้กับ user

method

Medthod​ ฝาปั๊ม​กู้โลก​ คุณค่า​ ที่คุณแม่บ้าน​คู่ควร!!

อย่าว่าแต่คุณแม่บ้านเลย​ ขนาดนี่ต้องล้างจานเอง​ หลังจากเทน้ำยารอบแรก​มือเลอะ​ ๆ​ แล้ว​น้ำยาไม่พอ​ ต้องคว้าขวดมาบีบน้ำยาใส่ฟองน้ำ​ มันเหนอะ​ มันลื่น​ มันแหยะมือ​ มันเปรอะมันเปื้อน​ มันหงุดหงิด เข้าใจไหม​ !!

นี่ยังไม่นับรวม​น้ำยาซักผ้า​ ที่ต้องเทน้ำยาใส่ฝา​เพื่อตวงปริมาณ​ ก่อนเทใส่เครื่องซักผ้าอีกที​ ซึ่งมันมักก่อให้เกิด​ User​ Experience ที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไร​แต่เราก็ใช้ชีวิตกับผลิตภัณฑ์เหล่านี้มาจนชิน​ และก็ไม่ได้ใส่ใจกับความแย่ของการออกแบบ Packaging น้ำยาล้างจาน น้ำยาซักผ้า ซักเท่าใดนัก ซึ่งถามว่า​เอาจริง​ ๆ​ แล้ว​ ​มันมีวิธีเอาน้ำยาออกจากขวด​ Plastic​ ที่ดีกว่าการเปิดฝา​ ยก​ บีบ​ เท​ ไหม? ตอบเลยว่า​มี แต่ติดตรงคำว่า​ "เน้นผลิตให้ถูกที่สุด" และเมื่อใช้เสร็จก็โยนทิ้งไป​ นี่แหละที่ทำให้ปัญหานี้ไม่ถูกแก้ไขสักที

อีกเงื่อนไขหนึ่งที่สำคัญ​ คือเรื่องของ​ Marketing ยกตัวอย่าง​น้ำยาซักผ้า​ เคยสังเกตไหม​ ว่าเหตุไฉน​ฝาตวงน้ำยาซักผ้ามัน​แอบใหญ่ขึ้นทุกปีทุกปีนะ​ ? หรืออย่างยาสีฟัน​เราจำเป็นต้องบีบจนล้นแปรง​ แบบในสื่อจริง​ ๆหรือ​ ?

ซึ่งทั้งหมดนั้น​ ก็เพื่อให้เราใช้น้ำยาเหล่านั้นเยอะขึ้น​ หมดเร็วขึ้น และซื้อเยอะขึ้น​ จะได้ส่งเงินเข้ากระเป๋าบริษัทผลิตน้ำยาเหล่านั้น​ "เพิ่มขึ้น" แบบไม่รู้ตัว​ และ​เพิ่มปริมาณขยะขวด​ Plastic​ อีกมหาศาล


จนกระทั่งในปี​ 2010 วงจรอุบาทนี้​ก็ได้ถูกท้าทาย​ !!

เมื่อ​ Karim​ Rashid​ ได้ออกแบบ Packaging ให้​กับ​ Method​ ด้วยความตั้งใจที่จะแก้ปัญหา​ User​ Experience ที่เกิดขึ้น​ และแก้ปัญหาขยะจากขวด​ Plastic​ ที่กำลังล้นโลก
โดยการนำ​เทคโนโลยี​ "ฝาปั๊ม" มาใช้​ ผนวกกับการสร้าง​ "คุณค่า" ให้ขวด​ Plastic​ โดยการทำให้มันใสหนาขึ้น​ สวยขึ้น​ และปากกว้าง​ขึ้น​ เพื่อรองรับ​การ Refill น้ำยาลงขวด​ พร้อมทั้งปรับขนาดขวดให้เล็กลง​ ใช้น้ำยาน้อยลง​ แต่สะอาดเท่าเดิม​ โดยการขอให้​ Method​ ปรับสูตรน้ำยาให้มีความเข้มข้นมากขึ้น

สิ่งที่เกิดขึ้น​คือ ​"ฝาปั๊ม" มันได้ลบ​ User​ Experience แย่ๆแบบเดิมโดยสิ้นเชิง​

โดยที่เราไม่ต้อง

  • (a)ยกขวดด้วยมือข้างหนึ่ง

  • (b)เอามือข้างที่เหลือไปบิดเปิดฝา

  • (c)หาที่วางฝา

  • (d)เอามือที่วางฝาเอื้อมไปหยิบฟองน้ำ หรือเปิดช่องเทนำยาซักผ้าในเครื่องซักผ้า

  • (e)บิดข้อมือที่ถือขวดนั้นเข้าหาฟองน้ำ

  • (f)บีบขวดหรือเอียงขวดเพื่อให้น้ำยาหล่นใส่ฟองน้ำ หรือ ใส่ช่องน้ำยาซักผ้า

  • (g)พลิกข้อมือที่ถือขวดกลับมาในตำแหน่งเดิม​ เตรียมปิดฝา

  • (h)อุ๊ยแย่ละปากขวดเลอะน้ำยา​ ก่อนไหลย้อยไปที่ขวดพร้อมเลอะมือที่จับขวด

  • (i)+(j)+(k)+(....)

ซึ่ง​ "สิ่งที่แย่ที่สุด" คือเราก็เคยชินกับ Design Solution ที่ไม่ส่งเสริมชีวิตที่ดีต่อไป..

จนกว่าเราจะได้มาเจอกับ​เจ้าขวด Method ที่ใช้ระบบ​ "ฝาปั๊ม" ที่เพียงยื่นฟองน้ำไปใกล้ปากขวด แล้วเอามือกด​ น้ำยาก็หล่นใส่ฟองน้ำ เพียงแค่ 3 step เราก็ได้น้ำยาในปริมาณที่เหมาะสม​ จบ​ ชีวิตง่ายขึ้น

สิ่งที่น่า​โมโห คือเทคโนโลยี​การปั๊มนี้มีมานานมาก​ ๆๆๆ แต่ไม่เคยถูกเอามาใช้กับผลิตภัณฑ์เหล่านี้​เลย ด้วยเหตุผลที่กล่าวไปข้างต้น​ ซึ่งหากมองให้ลึกอีกหน่อย ถ้าขวดน้ำยาล้างจานมันหนัก​ คนมีอายุที่ข้อมือไม่ดี และอยู่คนเดียว​ ยกขวดบิดแขนไม่ไหว แล้วใครจะล้างจานซักผ้าให้พวกเขากันนะ..

อีกเรื่องหนึ่งที่ค่อนข้าง​ "ล้ำ" มากในยุคนั้น​ คือการที่ Karim​ Rashid​ ใช้ตัวน้ำยาแทน Graphic คือสีของน้ำยาล้างจานถูกพัฒนามาให้ดูดี ให้เสมือนเป็น Graphic ที่ปริ๊นท์ลงบนขวดไปเลย ซึ่งสามารถทดแทนการแปะแผ่นสติ๊กเกอร์ ลดการพิมพ์ ลดกาว และ ลดโอกาสที่ sticker โดนน้ำแล้วยุ่ยดูไม่น่าใช้ ทำให้คนไม่ทิ้งมันง่ายๆ
และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือขวดฝาปั๊มนี้ ได้ลดจำนวนขยะ​ขวด​ Plastic​ ลงมหาศาล​ เพราะไม่จำเป็นต้องใช้หมดแล้วทิ้ง​เลยอีกต่อไป ซึ่ง Karim​ Rashid ตั้งใจออกแบบขวดให้มีความหนา​และทนทาน​ ​ปากขวดใหญ่​ ทำให้การเติม Refill ง่ายขึ้นไม่ต้องมาเล็งกันให้ปวดตา ปวดแขน​ เรียกได้ว่าขวดใบนี้สามารถเก็บไว้เป็น​ "มรดก" ให้เหลนไว้ใช้ต่ออีก 60 ปีได้เลย(ฮา)​

ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ยิ่งส่งผลต่อโลกมากขึ้น​ เมื่อแบรนด์อื่นๆ​ เข้ามาร่วมใน​เทรนด์​ขวด "ฝาปั๊ม" นี้​ และแน่นอนว่าปัญหา​ขยะ​ Plastic​ ยังไม่ได้หมดไป​ แต่นี่คงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด​ ที่​ Karim​ Rashid​ จะมีกำลังทำได้​ ในฐานะที่เป็นนักออกแบบคนหนึ่ง..

“We do not inherit the Earth from our ancestors we borrow it from our children” American Indian proverb”
“โลกใบนี้ไม่ได้เป็นมรดกจากบรรพบุรุษ เราแค่ยืมมันมาจากลูกหลานของเราเท่านั้น”

สุภาษิตชาวอเมริกันอินเดียน

garbo trash can

Garbino Trash Can​ -​ Umbra

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว.. ก่อนการถือกำเนิดของ​ Garbino Trash Can ถังขยะถูกมองว่าเป็นถังขยะ คือแค่มีไว้เพื่อทิ้งขยะจริงๆ เมื่อใช้งานเสร็จก็มักถูกซ่อนไว้ตามซอกหลืบ​ ไม่ได้ถูกตั้งโชว์​ ไม่ได้ถูกให้ค่าอะไร

แต่จะเกิดอะไรขึ้น​เมื่อวันหนึ่ง​ ถังขยะถูกทำให้สวย​?

​Garbino Trash Can เกิดจาก​การที่​ Karim​ Rashid​ จับเอา​ Moment ที่สังคมกำลังเปลี่ยนผ่านจากยุคที่เคร่งขรึมใส่สูทผูกไทแบบ Modernism ไปสู่ยุค​ Casual Society​ ที่ผู้คนใส่ T-Shirt กางเกงยีนส์มาประชุม​ Movement หรือ​ "รีแอคชั่น" ของเขาต่อ​ Moment​ นี้คือ​ เรามาออกแบบถังขยะให้สวยงามกันเถอะ​ !?


Garbino หรือ Garbo เป็นโปรเจคท์ที่​ Karim​ Rashid​ ได้ร่วมงานกับ​ Umbra บริษัทชื่อดัง​สัญชาติแคนนาดา​ ที่มักนำของใช้ในชีวิตประจำวัน​มา​ชุบชีวิตใหม่ เพื่อให้เข้ากับบริบท​ และยุคสมัยมากขึ้น


เพียงแต่​คำถามข้อใหญ่สุด​ ที่เราทุกคน​รวม​ทั้ง​ Umbra​ เองก็ยังคิดไม่ตก​ คือ​ "เราจะออกแบบถังขยะให้สวย และ​ สามารถตั้งโชว์ได้ไปทำไม(วะ)?"

แต่ในเมื่อคุณกล้าเสนอ​ เราก็กล้าสนอง​(ฮา)​ Umbra​ ตกลงเอาด้วย​ ทีนี้ก็เป็นหน้าที่ของ Karim​ Rashid​ แล้วที่จะออกแบบถังขยะชิ้นนี้ออกมายังไง อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น​ ว่า​นิยามผลงานการออกแบบของเขาคือ​ "Sensual Minimalism" (ความเรียบง่ายที่เย้ายวน)​

ในงานออกแบบชิ้นนี้​ Karim​ Rashid​ ได้นำแรงบันดาลใจในการสร้าง​ Shape​ มาจาก ​"หน้าอก​ ทรวดทรง​ และองค์เอว" ของ​นักแสดงสาว​ชื่อดัง​ชาวสวีเดน​ ผู้เคยได้รับรางวัลออสการ์​ นาม​ Greta Garbo (เกรทา การ์โบ)​ ซึ่ง​ "Shape" ที่ได้มานี้​ มันลึกล้ำมากแม่​ !! เพราะนอกจากจะสวยงามเย้ายวน​ Sexy น่าตั้งโชว์​แล้ว​ ปากถังที่มา​จาก Shape​ ทรวงอก​ ผสมการเจาะรู​ก่อนคอดกิ่วลงไป​ ก็ได้ก่อกำเนิดฟังก์ชันการใช้งานที่หลาก​หลายขึ้นพร้อมๆกัน

  • ประการแรก​ ด้วยปากถังที่บานออก​ ทำให้ตอบสนองต่อพฤติกรรมการ​ 'โยน'​ ขยะลงถังได้ดีขึ้น​

  • ประการที่สอง การเจาะรูเป็นที่จับในตำแหน่งนั้น​ ​ส่งผลดี​ 2​ เรื่อง คือคนจะไม่สามารถทิ้งขยะจนปิดรูจับ เพราะตำแหน่งมือจับนั้น​ อยู่เหนือจากตำแหน่งฝาปกติ ทำให้เวลานำขยะในถังไปทิ้ง​ มือก็จะไม่เปื้อนด้วย

และด้วยวัสดุ​ Plastic​ ก็ทำให้ล้างทำความสะอาดง่าย หนึ่งใน Pantone หลักที่ Karim Rashid​ เลือกคือ Semi translucent พลาสติกกึ่งใส ซึ่งคนใน Umbra ทุกคนได้แต่เกาหัวหงิก​ ๆ ว่ามนุษย์ User ที่ไหนอยากมองทะลุเข้าไปเห็นขยะในถังขยะ ​แต่ก็อีกนั่นแหละถ้าไม่เห็นขยะจะรู้ได้ไงว่ามันเต็ม แม่บ้าน​หรือพ่อบ้านอาจจะเดินผ่านไปมา​ และดองเจ้าขยะนั้น​ จนหนูมาทำรังก็เป็นได้

จาก Function ที่ถูกขัดเกลาประกอบกับฟอร์ม​ Minimal​ ที่ผลิตง่าย​ ด้วยการฉีด​ Plastic ลงแม่พิมพ์เพียงชิ้นเดียวจบ ก่อกำเนิดเกิดเป็​น​ Garbo ถังขยะทรงสวยฟังก์ชั่นดี ราคาถูก​ ทุกอย่างฟังดูดีเพียงแต่ว่า.. เอาเข้าจริง​ Umbra​ ก็ไม่รู้​ และคงจะไม่มีใครรู้ว่า​โปรดักส์ชิ้นนี้มันจะ​ "ปัง(ขายดี)​ หรือ​ ปัง​(ปิ๊นาศ)​ กันแน่​ !?"

Garbino Trash Can​ วางขาย​ครั้งแรกในปี​ 1997 ผลปรากฏว่า​ 2,000,000 ชิ้น​ ขายหมดในพริบตา​ !! และยอดขายรวมกว่า​ 7,000,000 ชิ้น​เมื่อนับจนถึงปัจจุบัน เรียกได้ว่า โรงงานไม่ต้องหยุดฉีดพลาสติกกันเป็นสิบๆปี และนี่คือจุดเริ่มต้นของปรากฏการณ์​ ที่ทำให้ผู้คนในสังคม​ ​เริ่มเอาถังขยะออกมาโชว์ ให้เห็นกันอย่างโจ๋งครึ่ม​ !!

แม้​ Garbo อาจดูเป็น Object ถังขยะจากพลาสติกที่ผลิตง่าย​ ๆ​ และมีราคาย่อมเยา​ แต่ที่มาของมัน​ซ่อนความเหนือชั้น​ และลึกล้ำ​ รวมทั้งแสดงถึงความกล้าหาญ​ ความดื้อ​ และ​ Passion ของ​ Karim Rashid​ ออกมาอย่างเต็มเปี่ยม​

สรุป​ พอจะได้คำตอบไหม​ครับว่า "เราจะออกแบบถังขยะให้สวย และ​ สามารถตั้งโชว์ได้ไปทำไม(วะ)?"


ข้อมูลเสริม

การทำโปรดักส์ให้มี​ "ที่จับ" จริง​ ๆ​ แล้ว​ถือเป็น เทรนด์​ หรือ​ Movement ที่กำลังมา​ ณ​ ขณะนั้น​ ซึ่งก็มีที่มาจาก​ Jonathan Ive นักออกแบบคนสำคัญ ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ​ Apple​ นั่นเอง​

ย้อนอ่านบทความ​ Jonathan Ive

oh chair - umbra

จาก​ OHM Chair​ สู่​ OH Chair​ -​ Umbra

Apple​ ตกใส่หัวนักวิทยาศาสตร์​เกิดเป็นกฏแรงดึงดูด แต่นักออกแบบนั่งแล้วตกเก้าอี้​เกิดเป็น​ OH Chair​ !!

เมื่อครั้งที่​ Karim​ Rashid​ ใช้ชีวิตอยู่ในนิวยอร์ค​ ระหว่างที่นั่งรับประทานอาหารในร้านหรูแห่งหนึ่ง​ สิ่งที่ขัดใจเขามาก​ คือ​ราคาอาหารบนโต๊ะเขา ที่แพงกว่าเก้าอี้ที่ทำจาก​ Plastic​ ทั้งตัวที่เขานั่งอยู่.. อยากให้ลองนึกภาพ​ เรากำลังนั่งทานอาหารบุฟเฟต์สุดหรูบนตึกใบหยก​ ด้วยเก้าอี้​ Plastic​ monoblock แบบที่มักใช้ในงานศพ..

ปัญหา​ คือนอกจากมันจะไม่สวย​ นั่งไม่สบายตูดแล้วประเด็น​ คือมันไม่แข็งแรงด้วย​ !!

ซึ่งวันนั้น​เอง โลกเกือบสูญเสียนักออกแบบคนสำคัญ​ อย่าง​ Karim​ Rashid​ ถ้าเพียงแต่เก้าอี้ขาหัก​ แล้วเขาทิ้งตัวลงผิดท่าเท่านั้นเอง.. สิ่งที่เกิดขึ้นในใจ​ ไม่รู้ว่าจะเอา "ปากกา" มาวงที่​ความอาย​หรือความแค้นก่อนดี​ ?

มีคำกล่าว​ว่า จอมยุทธล้างแค้น​ 10​ ปี​ ไม่สาย..

แต่นี่ไม่ใช่จอมยุทธ​ นี่คือนักออกแบบ Karim​ Rashid​ จะไม่ทน​ !! เขาติดต่อหาบริษัท​ Umbra​ คู่หูเก่า​หลังจากที่ประสบความสำเร็จจากผลงานถังขยะ​ Garbo ทันที​ แจ้งความจำนงไปว่่า​ รอบนี้เรามาทำเก้าอี้​ Plastic​ กันเถอะ​ !!
ทำ "ถังขยะ" จาก​ Plastic​ อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่​ แต่เก้าอี้ที่ทำจาก​ Plastic​ นี่สิ​ "งานช้าง" เพราะแม่พิมพ์ ในขนาด​ Scale ที่ต้องรองรับคนนั่งได้​ ชุดเดียว​ ราคาก็ปาเข้าไป​หลักหลายล้านแล้ว​ !! เรียกได้ว่าแม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง​ Umbra​ ก็ยังสะดุ้งได้เช่นกัน

แต่อย่างว่า​ ขนาด​ไม่รู้ว่าจะทำถังขยะให้สวย​ และ​ตั้งโชว์ได้​ไปทำไม​ ? Umbra​ ยังยอมใจ​ Karim​ Rashid​ แล้วนับประสาอะไรกับงานนี้​ ทำไมจะเซย์​ No ล่ะ​ !!

โจทย์ของงานคือ​ เราจะผลิตเก้าอี้​ Organic Form​ ที่นั่งสบายก้น สอดรับ​ต่อ Ergonomic​ สวยงามมีคุณค่า​ แข็งแรงทนทาน​ และเป็นเก้าอี้ตัวโปรด​ ที่ผู้คนซื้อไปใช้​ แล้วอยากส่งต่อยันรุ่นเหลน ด้วย​วัสดุ​ Plastic​ ราคาถูกได้อย่างไร​ ?

ซึ่งใครที่เคยอ่านบทความ​ Charles​ and​ Ray​ Eames ที่​ Class​ A​ Solution​ เคยนำเสนอไปคงพอจะคุ้นๆกับประโยคนี้​ OH​ Chair​ ถือว่าเป็นการรับไม้ต่อของยุคสมัยได้เล​ย​ เพียงแต่ความท้าทายที่ Karim​ Rashid​ ต้องเผชิญ​ ไม่ได้อยู่ตรงการหาวิธี​ "ดัดวัสดุ" แต่ความยากอยู่ที่การหา Form​ ที่จะตอบโจทย์ทั้งหมดที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั่นเอง..



เราจะแยกนักออกแบบชั้นเยี่ยม​ ออกจากนักออกแบบ​ทั่วๆไปได้อย่างไร​ ?

มีสุภาษิตกล่าวว่า​ "ยิงปืนนัดเดียวได้นก​ห่านที่กำลังบินอพยพขึ้นเหนือเป็นรูปตัว V ได้ทั้งฝูง" !!?

สำหรับนักออกแบบชั้นเยี่ยมแล้ว​ กระสุน..ไม่สิ​
เส้น​ 1​ เส้น​ ที่อยู่ในชิ้นงาน ต้อง​ "คำนึง" ถึงเหตุและผล​ ตอบโจทย์​อันหลากหลายของชิ้นงาน​ได้​ ซึ่งเราจะเห็นสิ่งนี้ได้จาก​ตัวอย่างงานของ Karim​ Rashid​ ชิ้นนี้ที่เส้น​ 1​ เส้น​ สามารถตอบโจทย์ความสวยงาม​​ เป็น​ Organic Form​ สอดรับ​ Ergonomic นั่งสบาย​ ผลิตง่าย​และราคาถูก ที่สำคัญคือแข็งแรง​ทนทาน​ เพื่อที่ผู้คน​ หรือนักออกแบบชื่อดังระดับโลกเช่นเขา​ จะได้ไม่ต้องมาเสี่ยงตายกับ​ขาเก้าอี้​ Plastic​ ที่อ่อนแออีกต่อไป.. และเหตุผลที่เขาเลือกใช้​ Form ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสัญลักษณ์​ OHM ( Ω )​ ไฟฟ้า​นั้น​ ไม่ใช่แค่สวย​ หรือเท่​ แต่เพราะ​เขากลั่นมาแล้วว่า​ มันสามารถนำมาพัฒนาให้ตอบสนอง​ ฟังชันก์การใช้งานได้​ดี Curve ของพนักพิง พนักแขน จะไม่มีเหลี่ยมสันมาทิ่มแทงร่างกาย และรองรับสรีระได้อย่างนุ่มนวล

การ​ "เจาะรู" บนเก้าอี้นั้น​ก็ช่วยให้ลด​ปริมาณ Plastic​ ที่ใช้​ ได้ต้นทุนถูกลง​ ราคาถูกลง​ ผู้บริโภคไม่ต้องจ่ายค่า Plastic​ ส่วนเกินที่ไม่ได้ใช้ อีกทั้งยังช่วยให้เก้าอี้สามารถซ้อนเก็บ​ได้ง่าย​ และลดต้นทุนในการขนส่งได้มหาศาลอีกด้วย นอกจากนั้น​ความ​ 'แหว่ง'​ นี้ยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้โครงสร้าง​ นั่งนุ่มขึ้น​ และสามารถรองรับขนาด Body ของคนนั่งได้หลากหลายมากขึ้น คงไม่เกินเลยไปนัก​หากจะกล่าวว่า​ ไม่มีสักเพียง​ 1​ เส้นในงานของเขา​เลย "ที่ไม่มีเหตุผล" และนี่คือคำตอบ​ ว่าเราจะแยก​นักออกแบบชั้นเยี่ยม ออกจากนักออกแบบทั่ว​ ๆ​ ไปได้อย่างไร​ ?

จากทั้งหมดที่กล่าวมา กว่าจะได้ออกมาเป็นเก้าอี้​ Plastic ​ผสมขาเหล็กแบบที่เราเห็น​ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมากจากหลาย​ ๆ​ ประเทศ​ โดยเฉพาะที่​ "ญี่ปุ่น​" ตอบรับดีมาก แต่ติดอยู่เรื่องเดียว​ คือชื่อของมัน..โดยตอนแรกเก้าอี้นี้​ ชื่อ​ OHM​ Chair​ ซึ่งมันไปพ้องเสียงกับ​ 'โอม'​ ชินริเกียว​ ลัทธิ​ที่กำลังเป็นข่าวดังในญี่ปุ่น​ ด้วยเหตุนี้​จึงต้องเปลี่ยนชื่อเป็น​ OH​ Chair​ แทนเพื่อการจัดจำหน่าย


ซึ่งถ้าใครไม่รู้ที่มา​อาจนึกว่า ชื่อนี้มาจากเสียงตอนที่ได้นั่งแล้วนุ่มสบายจนต้องร้องออกมาว่า​ OH​ Chair~

bobble

Bobble

หนึ่งในความพยายามแรกที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมใช้แล้วทิ้งของมนุษย์

ตั้งแต่หลังปี 2000 เป็นต้นมาพฤติกรรมแย่ๆอันหนึ่งของมนุษย์ที่เกิดขึ้นจนเป็น Movement ชัดเจนมากคือ การบริโภค "น้ำดื่มขวด" ด้วยเหตุผลนานับประการ ไม่ว่าจะเป็น​รสชาติน้ำจากก๊อก ที่ถึงจะกรองแล้วก็ยังมีกลิ่นแปร่ง​ ๆ หรือบางที ขี้เกียจกรอง​ !! ทำไมต้องมาคอยเปิดน้ำกรองให้ค่อย​ ๆ​ หยดใส่ขวด แล้วต้องยืนรอไม่รู้ว่ามันจะเต็มเมื่อไร หรือ "ง่ายดี" ขวดเล็ก​ ๆ​ เบา​ ๆเอาติดมือไปไหนมาไหนสบาย​ ๆ​ กินหมดแล้วก็ทิ้ง ยื่นให้คนอื่นก็ง่าย​ เวลาแขกหน้าแปลกเข้าบ้านมาจะได้ไม่ต้องมาดื่มน้ำจากแก้วของเรา และผลที่ตามมาคือ คนซื้อน้ำขวด PET ใส​ ๆ ใช้ครั้งเดียวทิ้งมาตุนไว้เป็นแพค​ ๆ ที่บ้าน​ และบริโภคแบบไม่เกรงใจสิ่งแวดล้อม

น่าเศร้าเพียงไหน​ ที่เราต้องเห็นภาพ​ "กองขยะ" ขวดพลาสติกที่ท่วมตึกสามชั้น.. สิ่งนี้มันถูกซุกซ่อน​ แอบอยู่ตามมุมต่างๆในโลกของเรา​


ในมุมมองของ Karim Rashid, The King of Plastic หากเราเปลี่ยนระบบการจัดการขยะทั่วโลกไม่ได้ เรามาสร้างโปรดักส์ที่เปลี่ยนพฤติกรรมมนุษย์ แล้วสร้าง Movement ใหม่กันเถอะ​ !!

ขวด Bobble จึงถือกำเนิดขึ้นโดยการทำงานร่วมกันระหว่าง Richard Smiedt CEO ผู้มีวิสัยทัศน์ของ Bobble และ Karim Rashid โดยเจ้า Bubble ออกแบบมาให้มีระบบกรองน้ำจาก Carbon Filter ที่เป็นมาตรฐานเทคโนโลยีการกรองน้ำที่มีมาช้านานเพียงเราเทน้ำจากก๊อกใส่ขวด แล้วทุกครั้งที่​ "บีบน้ำ" จากขวดเข้าปาก น้ำจะถูกดันให้ผ่าน ตัว Filter Carbon เพื่อกรองเอาสารสกปรกจากน้ำ​ ไปกักเก็บอยู่ใน Carbon Filter เพียงเท่านี้เราก็สามารถเข้าถึงน้ำดื่มสะอาดได้ทุกที่ ที่ประปา ไปถึง

ตัว Bobble มีเป้าหมายในการลดการบริโภคน้ำจากขวด PET ที่ใช้แล้วทิ้ง โดยพุ่งเป้าไปที่การแก้ปัญหาการพกพาน้ำดื่มของมนุษย์ โดย Karim Rashid​ ได้ตั้งใจออกแบบขวดให้ ทนทาน​ และใช้งานได้นานโดยใช้ วัสดุ Tritan® ที่ถูกพัฒนามาให้รถเหยียบแล้วยังไม่แตก ไม่เป็นรอยง่าย คงรูป คงความสวย คงความใสให้อยู่ยงคงกระพัน และ มี Form ที่เช่นเคย​ Sensual สวยงามน่าเก็บ คู่ไปกับสีของ Filter ที่โดดเด่นสะดุดตา ทำให้การพกพาเจ้าขวด Bobble เป็นเหมือน statement ที่สร้างกระแสให้คนหันมาเปลี่ยนพฤติกรรมกันอย่างมีสีสัน


Carbon filter ของ Bobble ถูกออกแบบมาให้สามารถกรองน้ำได้ 300 ขวด ซึ่งหากเรามี Cycle การเติมน้ำวันละสองครั้ง ก็เปลี่ยน Filter ในทุก​ ๆ 6 เดือน และ เราก็เปลี่ยนแค่ตัว Carbon จริง​ ๆ เพราะฝาที่ทำจาก PP ถูกออกแบบมาให้ถอดแยกชิ้นส่วนทำความสะอาดได้ง่าย และทนทาน เราเพียงเปลี่ยน แท่ง Carbon อย่างเดียว แล้วใช้เจ้า Bobble ไปจนส่งต่อให้เหลนได้แบบไม่ต้องอายว่าโปรดักส์จะดูขี้เหล่

หากสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับขยะพลาสติกสามารถอ่านบทความเพิ่มเติม

blobject

บทส่งท้ายกับ
BLOBJECT​ = Blob + Object

Blobject คือ​

Project สนุก​ ๆ​ ที่เกิดจาก​การรวมตัวของบรรดา "ดีไซน์เซเลบ" (Designer​ + Celeb)​ ในช่วงยุคสมัย​ 1980 - 2000 อาทิเช่น​ Philippe Starck,​ Marc Newson และ​ที่ขาดไม่ได้เลยคือ​ Karim​ Rashid​ นักออกแบบคนสำคัญ​ ที่จะร่วมนำพางานออกแบบ​ไปสู่ขอบเขตใหม่​ ๆ​ ที่ไม่เคยมีใครไปถึง

ซึ่งเป้าหมายแรกนั้น​ ก็ต้องเริ่มจากการพยายาม​ "ทำลายข้อจำกัดทางการผลิต" เพราะต่อให้ดีไซน์มันล้ำยังไง​ แต่ถ้าผลิตไม่ได้ก็เปล่าประโยชน์​ ด้วยเทคโนโลยี​ 3D ที่กำลังเข้ามา​ ผสานกับความทุ่มเทของ​เหล่าขุนพล​ Designer​ จนเกิดเป็นยุคสมัย​แห่ง​​ "ราชาโจรสลัด" เอ้ย​ ยุคสมัยแห่ง​ Blobject​ ที่เรากำลังพูดถึงอยู่นั่นเอง

Blob​ คือ​

Form​ ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก​ Curve, หยดน้ำ, Organic, หน้าอก​ และ​ทรวดทรงองค์เอวของสตรี​ ซึ่งเป็นฟอร์มที่​แต่ก่อน​ " คิดได้​แต่ผลิตไม่ได้​ " จนกระทั่งเกิด Moment​ สำคัญ​ เมื่อเทคโนโลยี​​ก้าวเข้ามาสู่ยุคของ​ 3D นี่แหละ​ และเมื่อโปรแกรม​ 3​D เข้ามา​ ความมันส์ก็บังเกิด​ !! เมื่อนักออกแบบ​สามารถสร้างงาน​ จากมุมมองแบบ​ 360 องศา​ ช่าง​และโรงงานก็มีความพร้อมที่จะผลิต​ชิ้นงาน​ ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น

และนี่คือที่มาของยุค​การออกแบบ ที่​ Form​ บางทีก็ไม่ต้อง Follow Function !! ได้เกิดขึ้นมากมาย

จะเกิดอะไรขึ้น​ถ้า​ Form​ มันนำหน้า​ฟังก์ชัน​ ดั่งนักร้องนำ​ที่นักดนตรีเล่นตามไม่ทัน​ !! และนี่คือตัวอย่างผลงาน​ "ความ​มันส์​" ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น​ !!


รู้หมือไร่​ ?

Karim Rashid​ ได้ Claim ว่าตัวเค้าเองเป็นดั่ง​ "บิดา" ผู้ให้กำเนิด Blobject เรามาดูตัวอย่าง​ "ลูก​ๆ" ของเขากัน(ฮา)​


Ego Vase แจกัน

ผลงานที่ต้องขออนุญาต​ใช้คำว่า​ "กวนตีน!!" มาก​ของ Karim​ Rashid​ ที่นำมุมหน้าด้านข้าง​ของตัวเอง มาหมุนวนด้วยคำสั่ง Revolve ใน 3D Program​ คล้ายการใช้​ 'แป้น'​ หมุนในการทำเครื่องปั้นดินเผา ​ก่อเกิดเป็นแจกันแก้ว​ ที่ตั้งใจล้อเลียนผลงานประติมากรรม​ทองเหลือง​ใบหน้าของ​ "เบนิโต มุสโสลินี" ผู้นำเผด็จการ​ฟาสซิสต์​ และนี่แหละคือการ​ Bully แบบนักออกแบบ!!


Bokka Lamp

เห็นแวบแรกตกใจ​ นึกว่าหน้ากาก​ Scream!! หนังที่ฆาตกรโรคจิต​ ใส่หน้ากากผี​ถือมีดวิ่งไล่เชือดคน​ ด้วย​ Form​ ที่มันดู​น่าพิศวง​มาก​

ผลงานชิ้นนี้​ Karim​ Rashid​ ได้ออกแบบให้บริษัทผลิตแก้วในอิตาลี​ งานชิ้นนี้พิเศษ​ด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการสร้าง​ Form​ ที่​โคตร Organic​ จากคอมพิวเตอร์​ ผสมผสาน​เทคนิคการผลิต​ Molded แก้วโบราณที่มีประวัติความเป็นมากว่า​ 1,000 ปี เข้ากับ Technique Water Jet หรือการตัดวัสดุด้วยแรงดันน้ำ ทำให้ได้ Form และ รูปบนชิ้นงานแก้ว ในแบบที่งานฝีมืออย่างเดียวก็เอาไม่อยู่ จะ​ Machine อย่างเดียว ก็จบไม่ได้ และนี่คือผลงานที่ต้องผสานสองอย่างร่วมกัน


บทสรุป​แห่ง​ BLOBJECT​ : เมื่อ​ Form​ ไม่​ยอม​ Follow Function

Blobject​ เป็น​ Project ที่ถูก​ "ด่า" เยอะมาก​ในเรื่องของ​ Emotional Design​ การผลิตที่ไม่คำนึงถึง​ฟังก์ชัน​การใช้งาน​ การที่เอามันส์​ เอาสนุกเข้าว่า​ สุดท้ายแล้วก็โรยราไปเมื่อกระแสหมดลง​ แม้คุณงามความดีหนึ่งของ​ Project นี้​ คือการทลายข้อจำกัดในด้านการผลิตแห่งยุคสมัยลง​ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ

​เพราะเอาเข้าจริงแล้ว​ โลกนี้ยังมีปัญหาที่มากกว่า​ความ​ "น่าเบื่อ" ที่ท้าทาย​ และสำคัญ​ยิ่งกว่า​ ​รอให้นักออกแบบ​เข้าไปจัดการ​ "แก้ปัญหา" เพื่อชีวิตของผู้คนที่ดีขึ้น​ และโลกใบนี้ที่ดีขึ้น

จริง​ ๆ​ แล้ว​ Bobble ขวดกรองน้ำ​ Carbon Filter​ ที่​ Karim​ Rashid​ ออกแบบ​ ถือได้ว่าเป็นงานชิ้นส่งท้ายของยุคสมัยแห่ง​ Blobject​ ซึ่ง​เขาใช้ความทุ่มเทอย่างมหาศาลที่จะใช้พลังแห่งความ​ "สนุก" ที่มีอยู่ในงานออกแบบของเขา​ ท้าทายต่อปัญหาขยะขวดพลาสติก​ ที่กำลังจะล้นโลก​ แต่ถ้าให้พูดตามตรงก็คือ​ "ไม่สำเร็จ" ปัญหานี้อาจจะใหญ่ยักษ์เกินกำลังของนักออกแบบคนหนึ่ง​ แต่อย่างน้อยที่สุด​ นี่ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุด​ที่​ Karim​ Rashid​ หรือนักออกแบบคนหนึ่ง​ ที่จะทำเพื่อโลกใบนี้ได้​ และทางเราหวังเป็นอย่างยิ่ง​ที่จะได้เห็น​ ว่านักออกแบบรุ่นใหม่​ ๆทั้งหลาย​จะ​ "รับไม้ต่อ​" โจทย์สำคัญแห่งยุคสมัยนี้​ ต่อจากเขา

karim rashid - blobject

ตัวอย่างผลงานของ Karim Rashid ใน blobject

ที่มา : https://globaldesignnews.com/karim-rashid-and-gantri.../
http://www.artnet.com/.../blobject-chair...
https://www.re-thinkingthefuture.com/.../a3768-karim.../
https://3dsky.org/3dmodels/show/ego_vase_by_karim_rashid
https://www.umodern.com/.../kundalini-bokka-ceiling...

ข้อมูลโดย : Pongnut Krainichakul

เรียบเรียงโดย : Mailylin

Previous
Previous

James Dyson ( part 1 ) เจ้าแห่ง Innovation สุดยอดนักออกแบบผู้บดขยี้ PainPoint ให้เป็นผุยผง

Next
Next

Naoto Fukasawa กับ Design​ "Without Thought" การออกแบบโดยปราศจาก​ความคิด​